xs
xsm
sm
md
lg

ดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค พ.ค. 66 สูงสุดในรอบ 39 เดือน แต่คนยังกังวลตั้งรัฐบาล ค่าครองชีพ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ค. 66 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 และสูงสุดในรอบ 39 เดือน หลังคนรู้สึกเศรษฐกิจดีขึ้นจากท่องเที่ยวฟื้นตัว การเลือกตั้งคึกคัก มีเม็ดเงินหมุนเวียน ราคาน้ำมันลดลง ทำผ่อนคลายค่าครองชีพ แต่ยังต้องจับตาความไม่แน่นอนการจัดตั้งรัฐบาล ค่าครองชีพสูงจากค่าไฟ กังวลสถาบันการเงินโลก สงคราม ขึ้นดอกเบี้ย เงินเฟ้อ เศรษฐกิจถดถอย และส่งออกลด
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (CCI) เดือน พ.ค. 2566 อยู่ที่ 55.7 ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือน เม.ย. 2566 ที่ระดับ 55.0 เป็นการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 และอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 39 เดือน นับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2563 เป็นต้นมา ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 39.5 เป็น 40.5 และดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 62.5 มาอยู่ที่ระดับ 63.1

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 50.2 52.8 และ 64.2 ตามลำดับ ปรับตัวดีขึ้นทุกรายการเมื่อเทียบกับดัชนีในเดือนเมษายน ที่อยู่ในระดับ 49.4 52.0 และ 63.6 ตามลำดับ

ปัจจัยที่ทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคดีขึ้น เนื่องจากผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น หลังจากที่การท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน ตลอดจนบรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งที่คึกคักทั่วประเทศ ส่งผลให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ทำให้ประชาชนรู้สึกผ่อนคลายเรื่องค่าครองชีพลง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นทุกรายการอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาลและเสถียรภาพทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง ค่าครองชีพที่ยังทรงตัวสูง โดยเฉพาะค่าไฟฟ้า รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์สถาบันการเงินของโลก เศรษฐกิจโลกชะลอตัวและสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ตลอดจนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่อาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งส่งผลลบต่อการส่งออกของไทยทำให้การส่งออกในช่วงนี้หดตัวลง และมีผลกระทบในเชิงลบต่อกำลังซื้อของประชาชนในทุกภูมิภาค

“การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมยังคงเคลื่อนไหวคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้าจากวิกฤตโควิด-19 อัตราเงินเฟ้อสูงและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยและทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯ ที่ไม่มั่นคงเข้ามาซ้ำเติม ยิ่งส่งผลกระทบทางจิตวิทยาในเชิงลบอย่างมากต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป และการจ้างงานในอนาคต โดยยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้” นายธนวรรธน์กล่าว

ทั้งนี้
ศูนย์ฯ ยังประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2566 จะขยายตัว 3.-3.5% ภายใต้สมมิตฐานไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล
แต่รัฐบาลมีเสถียรภาพ ไม่มีการประท้วง งบประมาณถูกใช้ได้ไปพลางก่อน และงบปี 2567
จะเริ่มใช้ได้ในเดือน ก.พ.-มี.ค.2567 และภาคการท่องเที่ยวยังมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามา
25-28 ล้านคน ซึ่งหากการเมืองยืดเยื้อ ตั้งรัฐบาลไม่ได้ภายในเดือน ส.ค.2566 รัฐบาลรักษาการยังทำหน้าที่
คาดว่าจะโต 3% แต่หากตั้งรัฐบาลได้เร็ว เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะโต
3.6-4% หากมีการเปลี่ยนขั้ว เกิดการประท้วง เศรษฐกิจอาจโต
2.5-3%


กำลังโหลดความคิดเห็น