"สุพัฒนพงษ์" ยันพร้อมดูแลผลกระทบไม่ต่ออายุลดภาษีฯ ดีเซล โดยพร้อมชงมาตรการดูแลส่ง ครม.และ กกต.ตามสถานะรัฐบาลรักษาการหากราคาตลาดโลกพุ่ง ส่งสัญญาณค่าไฟงวดใหม่ (ก.ย.-ธ.ค. 66) ลดลงแต่เท่าใดขึ้นอยู่กับ "กกพ." พิจารณา พร้อมส่งต่อนโยบายที่ดีให้รัฐบาลใหม่สานต่อ มั่นใจรัฐบาลใหม่ยังต้องเดินหน้าผลักดันไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ส่งเสริมอีวี และอุตสาหกรรมใหม่
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงกรณีที่กระทรวงการคลังได้ออกประกาศกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตดีเซล 5 บาทต่อลิตรโดยกำหนดสิ้นสุดในวันที่ 21 ก.ค. 66 ว่า หากระดับราคาน้ำมันดีเซลตลาดโลกผันผวนสูงจนอาจกระทบต่อค่าครองชีพประชาชนเมื่อสิ้นสุดมาตรการลดภาษีฯดีเซลก็คงจะหารือกระทรวงการคลังในการนำเสนอมาตรการลดผลกระทบให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ และยื่นให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พิจารณาต่อไปเนื่องจากขณะนี้เป็นรัฐบาลรักษาการ
"ยังเหลือเวลาอีก 2 เดือนก็ต้องมาดูกัน ตอนนี้ทางสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) และคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ก็ติดตามเรื่องนี้ใกล้ชิดอยู่แล้วว่าจะบริหารอย่างไร แต่ปัจจัยหลักต้องดูในเรื่องของราคาน้ำมันตลาดโลกเป็นสำคัญหากไม่ได้ผันผวนสูงจนเกินไปโดยอยู่ระดับปัจจุบันก็ไม่น่าจะมีปัญหาจนถึงต้องมีมาตรการใดๆ เพิ่มเติมมาช่วยเหลือก็เป็นไปได้" นายสุพัฒนพงษ์กล่าว
สำหรับค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) งวดใหม่ (ก.ย.-ธ.ค. 66) เป็นเรื่องที่ทางคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงงาน (กกพ.) อยู่ระหว่างการพิจารณาต้นทุนต่างๆ โดยยอมรับว่าราคาก๊าซธรรมชาติเหลวตลาดจร (Spot LNG) ลดลงต่อเนื่อง นอกจากนี้ปริมาณก๊าซธรรมชาติในแหล่งเอราวัณจะสามารถผลิตเพิ่มขึ้นในเดือนก.ค. เป็น 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ธ.ค. เป็น 600 ล้านลบ.ฟ.ต่อวัน และ เม.ย. เป็น 800 ล้าน ลบ.ฟ.ต่อวัน ด้วยปัจจัยทั้งหมดจะทำให้ราคาค่าไฟฟ้ามีแนวโน้มลดลงได้แต่กรอบตัวเลขจะเป็นอย่างไรทาง กกพ.คงจะต้องเป็นผู้พิจารณา
"ค่าไฟที่ระบุจะลดลง 70 สตางค์ต่อลิตรก็เป็นเรื่องตัวเลขของแต่ละพรรคการเมือง ส่วนจะลดเท่าใดสุดท้ายทาง กกพ.จะต้องไปพิจารณาจากองค์ประกอบหลายๆ อย่าง แต่อย่างที่เคยบอกไว้แล้วว่าค่าไฟจะพีกสุดในงวดแรกจากนั้นจะทยอยลดลงซึ่งก็เป็นเช่นนั้น" นายสุพัฒนพงษ์กล่าว
สำหรับการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่นั้น ทางกระทรวงพลังงานเองก็พยายามจะมอบนโยบายต่างๆ ที่ดำเนินการไว้ไม่ให้เป็นภาระแก่รัฐบาลชุดใหม่ และเชื่อมั่นว่าไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลคงไม่กล้าปฏิเสธที่ต้องขับเคลื่อนไทยไปสู่สังคมคาร์บอนด์ต่ำหรือความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon neutrality การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) รวมไปถึงการสนับสนุนอุตสาหกรรมใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต
"แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย หรือ PDP 2023 ฝ่ายราชการเขาก็ทำต่อไป และนโยบายอื่นๆ เพื่อส่งมอบให้กับรัฐบาลใหม่พิจารณายังคงทำต่อเนื่องและได้มอบหมายให้หามาตรการรองรับนโยบายของแต่ละพรรคการเมืองที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาลไว้เป็นการบ้านที่เมื่อถึงเวลาจะได้ทำงานได้ต่อเนื่องทันที ส่วนการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ก็เช่นเดียวกันคงต้องเป็นเรื่องของรัฐบาลใหม่มาสานต่อ" นายสุพัฒนพงษ์กล่าว
