“ชัยธวัช” เผย วาระประชุม 8 พรรคร่วมพรุ่งนี้ ตั้งคณะทำงานเปลี่ยนผ่าน ยังไม่แบ่งเก้าอี้กระทรวง เก็บประเด็นประธานสภา ถกเฉพาะ “ก้าวไกล-เพื่อไทย” ยัน ส.ว. เข้าใจมากขึ้นหลังมี MOU
วันนี้ (29 พ.ค.) นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการนัดหารือระหว่างพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรคการเมืองในวันพรุ่งนี้ (30 พ.ค.) ว่า เพื่อวางแนวทางการทำงานร่วมกันหลังจากนี้ เพื่อให้เป็นรูปธรรม โดยพรรคก้าวไกล จะเสนอให้มีการประชุมร่วมกันเป็นวาระประจำ และเตรียมตั้งคณะทำงานเปลี่ยนผ่านรัฐบาล หรือ Transition Team ภายหลังจากการลงนาม MOU แล้ว เพื่อไม่ให้ช่วงระยะเวลา 1-2 เดือน ก่อนการตั้งรัฐบาล หมดไปโดยไม่มีการเตรียมความพร้อม
ดังนั้น จะต้องทำการบ้านล่วงหน้า และหลายนโยบายจำเป็นต้องใช้งบประมาณ จึงจะต้องวางแผนงบประมาณให้สอดคล้องในแนวปฏิบัติ และปูทางไปสู่การพูดคุยการแบ่งความรับผิดชอบกระทรวง รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง และรัฐมนตรีช่วย แต่อาจไม่ถึงขั้นในอดีตที่ต้องแบ่งเกรดกระทรวงกำกับ หรือบางนโยบาย พรรคอาจไม่ได้กำกับเจ้ากระทรวงเอง อาจจะต้องให้พรรคร่วมรับช่วงดำเนินการต่อ โดยในคณะกรรมการดังกล่าว จะมีสัดส่วนผู้แทนจากแต่ละพรรคร่วม และหารือกันในรายละเอียดแต่ละข้อ MOU ที่จะผลักดันให้เป็นรูปธรรมอย่างไร เพื่อเตรียมความพร้อมในการบริหารหลังจัดตั้งรัฐบาลแบบไร้รอยต่อที่สุด ทั้งวาระร่วมใน MOU และการจัดลำดับการแก้ปัญหาสำคัญที่ตกค้างจากรัฐบาลชุดก่อน และเมื่อการประชุมดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้ว ในการประชุมครั้งถัดๆ ไปนั้น ก็จะวนไปประชุมตามสถานที่ของแต่ละพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล
นายชัยธวัช ยังปฏิเสธกระแสข่าวรอยร้าวระหว่างพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ตามที่สื่อมวลชนวิพากษ์วิจารณ์ เพราะยังคงมีการประสานงานกันเป็นการภายใน ซึ่งเป็นไปได้ด้วยดี และเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (26 พ.ค.) พรรคก้าวไกล ได้ประสานไปยังพรรคเพื่อไทย เพื่อมาพูดคุยให้ได้ข้อยุติในตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร แทนการพูดคุยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อมวลชน เพื่อสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี และเรื่องดังกล่าวยังมีเวลาหาข้อยุติผ่านกระบวนการทำงานร่วมกันหลังจากนี้ได้ ซึ่งเรื่องนี้ในการประชุมพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลวันพรุ่งนี้ (30 พ.ค.) นั้น จะเป็นการพูดคุยภายในระหว่างพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล เท่านั้น และ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ ในฐานะอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้เคยให้ข้อคิดแล้วว่า ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้น พรรคการเมืองที่ได้ลำดับที่ 1 จะเป็นประธาน แต่ในที่ประชุมวันพรุ่งนี้ (30 พ.ค.) คงไม่ได้มีการพูดคุยถึงเรื่องดังกล่าว
นายชัยธวัช ยังปฏิเสธกระแสข่าวการเจรจาสัดส่วนรัฐมนตรีระหว่างพรรคเพื่อไทย และ พรรคก้าวไกลที่ลงตัว 14+1 แล้ว โดยยืนยันว่า เป็นเพียงกระแสข่าว ซึ่งในอดีตก็จะคิดสัดส่วนตามสูตรหารตามโควตา แต่เบื้องต้นตนได้หารือกับพรรคร่วมฯ ไปแล้วว่า แต่ละพรรคมีความต้องการผลักดันนโยบายใดบ้าง ซึ่งจะไปยึดโยงกับกระทรวงใด เพราะพรรคก้าวไกล ตั้งใจใช้วาระเป็นตัวตั้ง และเชื่อว่า การตั้งคณะทำงานเปลี่ยนผ่านนี้ จะทำให้การแบ่งสรรความรับผิดชอบมีความชัดเจนขึ้น
พร้อมปฏิเสธกระแสข่าวการสลับตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร กับตำแหน่งกระทรวงพลังงาน รวมถึงกระแสข่าวการแบ่งกระทรวงต่างๆ ทั้งกระทรวงกลาโหม มหาดไทย ศึกษาธิการ และกระทรวงอื่นๆ ว่า ไม่ได้เป็นข้อเท็จจริง และยังไม่ได้เป็นข้อยุติ เพราะยังต้องใช้เวลาในการพูดคุย แต่เชื่อว่าในการพูดคุยนั้น จะเป็นไปด้วยดี พร้อมมองว่า หากพรรคก้าวไกล เทียบเชิญคนนอกมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในสัดส่วนของพรรค ก็เป็นเรื่องปกติของทุกรัฐบาล ที่บางตำแหน่งหากพรรคให้ความสำคัญกับทักษะความสามารถในการบริหาร ก็ไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส.มาดำรงตำแหน่งเท่านั้น เพราะภายในพรรคก้าวไกล ไม่ได้กำหนดว่า แกนนำได้ ส.ส.กี่คน จึงจะได้ตำแหน่งรัฐมนตรี แต่พรรคยึดถือความเหมาะสมของตัวบุคคล ที่จะทำให้นโยบายสำเร็จ
นายชัยธวัช ยังกล่าวถึงกรณีที่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ออกมาระบุว่า มีการดีลรัฐบาลใหม่โดยที่พรรคก้าวไกล เป็นฝ่ายค้านว่า พรรคก้าวไกล ยังคงยึดมั่นว่า การทำงานร่วมกันการให้เกียรติ ให้ความเคารพ และความไว้วางใจเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะหากพรรคมัวแต่กังวลต่อกระแสข่าวที่เกิดขึ้น การทำงานร่วมกันคงยาก
ส่วนความคืบหน้าการพูดคุยกับสมาชิกวุฒิสภา หรือ ส.ว. เพื่อขอเสียงสนับสนุนให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในการชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น นายชัยธวัช ระบุว่า ภายหลังที่พรรคก้าวไกล ได้แถลง MOU แล้ว ได้ประสานพบปะพูดคุยกับ ส.ว.มากขึ้น ซึ่งเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น และมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจของ ส.ว.หลายๆ คน เพราะบางส่วนได้รับข้อมูลในวงจำกัด และเป็นข้อมูลที่บิดเบือนบ้าง ทั้งเรื่องนโยบายในประเทศ และต่างประเทศ แต่เมื่อมีการพูดคุยด้วยกันแล้ว ส.ว.หลายคนก็คลายกังวล
นายชัยธวัช ยังกล่าวถึงการเตรียมความพร้อมของพรรคในการแก้ไขข้อกล่าวหาการถือครองหุ้นสื่อของนายพิธา หลังที่วันนี้ (29 พ.ค.) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เชิญ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และนายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการการกฎหมายฯ สภาผู้แทนราษฎร ไปให้ข้อมูลข้อร้องเรียนการถือครองหุ้นสื่อมวชนของนายพิธาแล้วว่า พรรคได้เตรียมความพร้อมไว้ตั้งนานแล้ว เพราะพรรคมั่นใจมาแล้วว่า เรื่องดังกล่าวจะต้องถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นทางการเมือง และพรรคมั่นใจว่า หากกระบวนการการตัดสินเรื่องดังกล่าวเป็นไปตามบรรทัดฐาน และกฎหมาย ก็จะไม่มีปัญหาใดๆ
นายชัยธวัช ยังกล่าวด้วยว่า ในระหว่างที่ ส.ส.ของพรรค รอ กกต.รับรองผลการเลือกตั้งนั้น ในที่สัมมนาพรรคที่ผ่านมา ได้แจ้งขอให้ว่าที่ ส.ส.ของพรรคก้าวไกล สามารถเริ่มทำงานได้ทันที โดยไม่ต้องรอการรับรองผลการเลือกตั้ง ทั้งการไปรายงานตัวกับหน่วยงานราชการในพื้นที่ และชวนประชาชนในพื้นที่ อาสาสมัครพรรค รวมถึงสมาชิกพรรค มาพูดคุยสร้างการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ เพราะพรรคก้าวไกล ก็ได้ส่งสัญญาณแล้วว่า ให้ว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล สามารถเริ่มทำงานได้ทันที
ขณะเดียวกัน ในวันนี้ (29 พ.ค.) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เข้าไปที่ทำการพรรคก้าวไกล เพื่อเตรียมการสำหรับการประชุม 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลในวันพรุ่งนี้ (30 พ.ค.) ที่จะไปประชุมร่วมกันที่สำนักงานพรรคประชาชาติ ในเวลา 14:30 น. รวมถึงการประชุมภายในของพรรค ทั้งแผนงานของพรรค และการปรับโครงสร้างบริหาร