“ศักดิ์สยาม” เผยรถไฟสายสีแดงต่อขยาย 3 เส้นทาง พร้อมชง ครม.ก่อนหมดวาระ เร่งตรวจสอบความถูกต้องวงเงินหลังต้นทุนวัสดุก่อสร้างเพิ่ม ชี้หากเป็นรัฐบาลรักษาการต้องเสนอ กกต.ก่อน ตามขั้นตอนไม่มีปัญหา
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ขณะนี้ กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียดโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงส่วนต่อขยาย 3 เส้นทาง เพื่อตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วน ก่อนที่จะเสนอ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้แก่ โครงการรถไฟ คือ สายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ระยะทาง 8.84 กม. วงเงิน 6,448.69 ล้านบาท, สายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา ระยะทาง 14.80 กม. วงเงิน 10,670.27 ล้านบาท และสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช ระยะทาง 5.7 กม. วงเงิน 4,616 ล้านบาท
โดยปลัดกระทรวงคมนาคมได้ตั้งคณะทำงานตรวจสอบรายละเอียดการลงทุน ตัวเลขโครงการ เพื่อให้ชัดเจนและสามารถตอบคำถามได้อย่างครบถ้วน ซึ่งต้องยอมรับความเป็นจริงว่าปัจจุบัน ต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมตอนที่มีการศึกษาโครงการ นอกจากนี้ ยังมีสภาพกายภาพ ชุมชนในเขตพื้นที่โครงการที่มีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย
ทั้งนี้ กระทรวงฯ จะต้องพิจารณาตรวจสอบให้เกิดความสมบูรณ์ กระทรวงคมนาคมมีแผนและเป้าหมายในการดำเนินโครงการและพยายามผลักดันให้นำไปสู่การปฏิบัติ ครบทุกมิติทั้งคมนาคมทางบก ทางน้ำ ทางราง ทางอากาศ ซึ่งหลายโครงการอยู่ระหว่างการพิจารณากลั่นกรองเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยยังมีเวลาที่จะนำเสนอ ครม.ภายใต้วาระของรัฐบาลปกติถึงวันที่ 23 มี.ค. 2566 ส่วนกรณีมีการยุบสภาก่อน เป็นรัฐบาลรักษาการ ซึ่งการนำเสนอโครงการต่อ ครม.เพื่อขออนุมัติยังทำได้ แต่จะต้องมีขั้นตอนผ่านคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก่อน ซึ่งไม่ได้เป็นข้อจำกัดแต่อย่างใดในการดำเนินงาน
นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งสรุปการศึกษาเพื่อนำเสนอกระทรวงฯ เช่น กรมทางหลวง (ทล.) กำลังสรุปโครงการส่วนต่อขยายทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมืองโทลล์เวย์) (M5) ช่วงรังสิต-บางปะอิน ระยะทาง 22 กม. มูลค่าโครงการประมาณ 28,360 ล้านบาท และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) มีโครงการทางพิเศษสายฉลองรัช-นครนายก-สระบุรี ช่วงจตุโชติ-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร รอบที่ 3 (MR10) ระยะทางประมาณ 17 กิโลเมตร วงเงินกว่า 3 หมื่นล้านบาท
“การเป็นรัฐบาลรักษาการไม่ใช่จะทำอะไรไม่ได้เลย ขั้นตอนที่ต้องผ่าน กกต.ก็ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะก็เป็นการตรวจสอบว่าได้ดำเนินการตามระเบียบ ข้อกฎหมาย ถูกต้องหรือไม่ และไม่ได้เป็นการดำเนินงานที่เป็นภาระของประเทศ และไม่ได้ทำอะไรที่จะเกิดความได้เปรียบ เสียเปรียบ ในการเป็นรัฐบาลรักษาการ”