ส.ส.ภท. นำผู้ว่าการ กทพ. โต้ ส.ส.ประชาชาติ ปมต่อสัญญาสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 ยืนยัน ปฏิบัติตามกฎหมาย- ยึดหลักธรรมาภิบาล ลั่น สถานะทางการเงินหน่วยงานยังแข็งแกร่ง
วันนี้ (15 ก.พ.) เมื่อเวลา 14.30 น. นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วย นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) แถลงสืบเนื่องจากกรณีที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคประชาชาติ อภิปรายประเด็นการต่อสัญญาสัมปทานขั้นที่ 2 และทางพิเศษสายบางปะอิน-ปากเกร็ด โดย นายสุรเชษฐ์ ชี้แจงใน 3 ประเด็น คือ 1. มูลค่าหนี้ที่ พ.ต.อ.ทวี ระบุว่า มูลค่าหนี้ตามข้อพิพาททั้งหมด มีมูลค่าประมาณ 3 แสนล้านบาท นั้น กทพ. ขอให้ข้อมูลว่า มูลค่าหนี้ตามข้อพิพาททั้งหมด มีมูลค่า 1.37 แสนล้านบาท ซึ่งต้องเป็นกรณีที่หากแพ้คดีกับ BEM และเนื่องจากได้มีการเจรจาต่อรองแล้ว ทำให้มูลหนี้ทั้งหมดจะมีมูลค่า 7.8 หมื่นล้านบาท ไม่ใช่ 3 แสนล้านบาท ตามที่มีการกล่าวอ้าง
2. กรณีที่มีการอภิปรายว่า การรับสภาพหนี้ดังกล่าว ทำให้ กทพ.มีหนี้เพิ่มจนทำให้ฐานะทางการเงินติดลบเป็นจำนวนมาก จากกำไร 6,000 ล้านบาท เป็นขาดทุน 65,000 ล้านบาท ทาง กทพ. ขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ในปี 63 ที่พบว่า กทพ. ขาดทุน 65,000 ล้านบาท เป็นตัวเลขขาดทุนทางบัญชีเท่านั้น ซึ่งสถานะทางการเงินในภาพรวมที่แท้จริงยังมีความแข็งแกร่ง มีผลประกอบการที่กำไรทุกปี และนำเงินส่งรัฐปีละประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท มาอย่างต่อเนื่อง
3. ส่วนที่มีการอภิปรายว่า การขยายสัญญาตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) มิชอบตามกฎหมาย และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง ทาง กทพ.ยืนยันว่า ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยคำนึงถึงความเป็นธรรมทั้งกับประชาชนผู้ใช้บริการ และเอกชนผู้ร่วมลงทุน ทั้งนี้ กทพ. ขอยืนยันว่า บริหารงานโดยยึดประโยชนสูงสุดของประชาชน และภาครัฐ รวมถึงความถูกต้องตามกฎหมาย และหลักธรรมาภิบาล