xs
xsm
sm
md
lg

“รวยไม่หยุด” สุดที่ F&B สไตล์เกาหลี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



การตลาด - เปิดกลยุทธ์ของสองสาวผู้มีแพสชันด้านอาหารแรงกล้า เครือเจ้าของแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มสไตล์เกาหลีชื่อดัง เช่น ร้านปิ้งย่างเกาหลี nice two Meat u และ nice two Sea u ร้านชานมไข่มุก Fire Tiger ร้านคาเฟ่ขนมปังสไตล์เกาหลี Mil Toast House ลุยสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ให้วงการร้านอาหาร เปิดตัว “Dosan Dalmatian by Mammamia” ร้านอาหารแนว Western & Korean Brunch แห่งแรกในไทย เสริมพอร์ตโฟลิโอ อุบไต๋ ปีนี้เปิดใหม่อีก 4 แบรนด์ โดยยังคงเลือกปักหมุดในย่านสยามสแควร์ ซึ่งเป็นโลเกชันแจ้งเกิดร้านอาหารสาขาแรกทุกแบรนด์ในเครือ

บริษัท รวยไม่หยุด จำกัด ชื่อง่ายๆ แต่มีกิมมิกในการทำธุรกิจอย่างน่าสนใจ แต่ละแบรนด์ที่ทำออกมาก็ล้วนแต่ ปัง ปัง ปัง สร้างกระแสให้วัยรุ่นได้ไม่หยุดไม่หย่อน


ช่วงเวลาเพียงไม่กี่ปีหรือประมาณ 5 ปี เท่านั้นก็สามารถสร้างแบรนด์และสร้างธุรกิจขึ้นมาหลากหลายแบรนด์ ได้แก่

1. Nice Two Meat U ร้านปิ้งย่างเกาหลี ในนาม บริษัท รวยไม่หยุด จำกัด
2. Fire Tiger by Seoulcial Club ร้านชานมไข่มุก ขนมหวาน ในนาม บริษัท รวยสบาย สบาย จำกัด
3. Mil Toast House ร้านขนมปัง เบเกอรีสไตล์เกาหลี ในนาม บริษัท รวยปังปัง จำกัด
4. E BOMB ร้านแซนด์วิชไข่ สไตล์ญี่ปุ่น ในนาม บริษัท รวยอู้ฟู่ จำกัด
5. Da Tang (ต้าถังหม้อไฟ) ร้านชาบูหม่าล่าสไตล์จีน เปิดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ในนาม บริษัท รวยแสนล้านตำลึงทอง จำกัด
6. หมูกระทะคนรวย เปิดเมื่อเดือนเมษายน 2565 ที่สยามสแควร์ ในนาม บริษัท รวยอินฟินิตี้ จำกัด

โดยหลักๆ แล้ว แบรนด์มีทั้งที่พัฒนาขึ้นมาเอง และที่ซื้อแฟรนไชส์มาจากเกาหลี เช่นซื้อแฟรนไชส์แบรนด์ Nice Two Meat U ต่อมาก็ยังมี Nice Two Sea U ด้วย กับ Mil Toast House ที่เหลือเป็นการพัฒนาเองทั้งหมด

แต่กว่าจะมาดังในวันนี้ เคยทำมาหลายธุรกิจแต่ก็เลิกไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ยิมมวย, ร้านนวด, ร้านทำแวกซ์, ธุรกิจช่องทีวี, ร้านเสริมสวยความงาม, ร้านตัดเสื้อผ้า, ร้านกาแฟ แต่มีเพียงอย่างเดียวที่ยังไปได้ คือ ร้านทำเล็บที่สยามสแควร์ซอย 3”


นางสาวชุติมา เปรื่องเมธางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รวยไม่หยุด จำกัด กล่าวว่า “เราไม่ได้ตั้งเป้าว่าแต่ละปีจะต้องซื้อแฟรนไชส์จากเกาหลีมากี่แบรนด์ แต่เวลาเราเจอแบรนด์ที่มองว่ามีศักยภาพ เราก็ไม่อยากปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป เพราะจากประสบการณ์ที่ทำธุรกิจในสยามสแควร์มานานกว่า 10 ปี และอยู่ในธุรกิจอาหารมา 6 ปี ทำให้เราเข้าใจอินไซต์ของผู้บริโภคในย่านนี้ จะเห็นว่าที่ผ่านมาเราไม่ได้เจาะจงซื้อแฟรนไชส์เฉพาะร้านที่ดังที่เกาหลีอยู่แล้วเท่านั้น เพราะร้านที่ดัง ไม่ได้หมายความว่าพอเอามาเปิดที่เมืองไทยแล้วจะปัง แต่เบื้องหลังความสำเร็จเกิดจากการอ่านเกมให้ขาด เข้าใจผู้บริโภค รู้จักวิธีการทำตลาดและปั้นแบรนด์เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในย่านสยาม ดังนั้น ร้านที่เราจะเลือกต้องเป็นร้านที่เราถูกใจทั้งรสชาติ และมีแบรนดิ้งที่เรามองว่า ตอบโจทย์คนไทย ถึงเอามาปั้นแบรนด์ต่อ”

โดยหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการปั้นแบรนด์ของรวยไม่หยุด กรุ๊ป คือ การนำแบรนด์ที่ซื้อแฟรนไชส์มาปรับให้เข้ากับรสนิยมและวัฒนธรรมการกินดื่มของคนไทย (Localization) เพื่อเสิร์ฟความเป็นเกาหลีในแบบที่ถูกใจคนไทยมากที่สุด ดังนั้น จึงต้องมีการเจรจากับเจ้าของแบรนด์ให้ชัดเจนว่า พอมาเปิดสาขาที่ไทย จะต้องมีการปรับทุกอย่าง ตั้งแต่การตกแต่งร้าน ไปจนถึงรสชาติอาหาร เพื่อให้ตอบโจทย์คนไทย โดยที่แบรนดิ้งและคอนเซ็ปต์ร้านยังไม่เปลี่ยน

“ที่ผ่านมา ทางเครือได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า กลยุทธ์นี้ได้ผลเป็นอย่างดี ยกตัวอย่างร้าน nice two Meat u ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนหลายอย่าง จนตอนนี้นอกจากจะขยายไปมากกว่าสิบสาขาทั่ว กทม.และมียอดขายที่น่าพอใจแล้ว เครือของเรายังช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง จากการทำแบรนดิ้งของคนไทย ทั้งสไตล์การตกแต่งร้าน การจัดทำมาสคอตขึ้นใหม่ ทำให้สาขาในประเทศอาเซียนของ nice two Meat u สนใจเปิดสาขาตามแบบแบรนดิ้งของสาขาที่ประเทศไทย อีกทั้งเรายังสร้างกระแสให้แบรนด์ จนมีลูกค้าคนไทยและต่างชาติตามไปชิมสาขาออริจินัลถึงที่เกาหลีด้วย”


ล่าสุดคือการเปิดตัวร้าน Dosan Dalmatian by Mammamia (โดซาน ดัลเมเชียน บาย มัมมาเมีย) เกิดจากการรวมตัวของสองร้านอาหารเกาหลีที่กำลังโด่งดังมากที่ประเทศเกาหลีใต้ เราตัดสินใจซื้อแฟรนไชส์ทั้งสองร้านมาเพื่อรวมกันเป็นร้านเดียว เป็นร้านบรันช์อาหารคาวจากร้าน Dalmatian ที่ผสมผสานความเป็นตะวันตกและเกาหลีไว้ด้วยกันอย่างลงตัว และร้าน Mammamia ซึ่งเป็นคาเฟ่ขนมที่มีจุดเด่นคือรสชาติขนมและการแต่งร้านด้วยสีชมพูช็อกกี้พิงก์ พอมีโอกาสได้ไปลองชิมอาหาร และขนมที่ร้าน Dalmatian และ Mammamia ก็ถูกใจทั้งรสชาติ และคอนเซ็ปต์ของร้าน มองว่ามีศักยภาพที่จะมาเจาะกลุ่มลูกค้าคนไทย และจะมาเสริมพอร์ตโฟลิโอของเครืออาหารและเครื่องดื่มสไตล์เกาหลี ที่มีทั้งร้านปิ้งย่าง เบเกอรี ชานมไข่มุก แต่ยังขาดธุรกิจแนวร้านอาหารเกาหลี จึงตัดสินใจซื้อแฟรนไชส์ของทั้งสองแบรนด์เข้ามาเปิดด้วยกัน ทำให้มีความโดดเด่น ทั้งอาหารคาวและของหวาน ทั้งนี้ ชุติมายังเสริมด้วยว่า สำหรับ “Dosan Dalmatian by Mammamia ถือเป็นร้านบรันช์น้องใหม่ที่จะมาสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้คนไทย เพราะเป็นบรันช์ที่ผสมผสานความเป็นตะวันตกและเกาหลีเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวในประเทศไทย และยังเป็น Rooftop Bar แห่งแรกในสยามสแควร์ ที่เปิดให้ลูกค้ามาชิลได้ตั้งแต่เช้ายันค่ำ นอกจากนี้ ยังเป็นร้านอาหารแบบ Dog Friendly ที่เปิดให้ลูกค้าสามารถพาสุนัขเข้ามาที่ร้านด้วยได้ โดยจะต้องดูแลเรื่องความสะอาดให้เรียบร้อย หากนั่งชั้นห้องแอร์ ต้องอยู่ในกระเป๋าหรือรถเข็น แต่หากเป็นชั้นดาดฟ้าสามารถใส่สายจูงเดินได้

นี่คือจุดแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่จะสร้างกระแสให้เกิดขึ้นได้ในตลาดเมืองไทย เป็นการเสริมทัพกับจุดเด่นจุดแข็งเดิมของแบรนด์ที่มีอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว


“เหตุผลที่เรายังเลือกปักหมุดร้านใหม่ Dosan Dalmatian by Mammamia
สาขาแรกที่สยามสแควร์เหมือนเดิม เพราะเราโตมากับสยามซึ่งเป็นที่ที่ให้โอกาสเรา ในการสร้างธุรกิจตั้งแต่แรก เราเลยอยากให้ทุกย่างก้าวของเราจากนี้เติบโตไปพร้อมกับสยามสแควร์ ด้วยการสร้าง ความเจริญให้ย่านนี้ กลายเป็นแลนด์มาร์กเด่นของกรุงเทพฯ ที่ดึงดูดคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งเราไม่เคยมองร้านอื่นเป็นคู่แข่ง แต่มองว่าเป็นพันธมิตรที่มาช่วยกันทำให้สยามดีขึ้น” หลายแบรนด์ที่บริษัทนี้ปั้นมา ก็ล้วนแล้วแต่มีจุดกำเนิดสาขาแรกที่ย่านสยามสแควร์แห่งนี้ทั้งสิ้น

กระทั่งอาจจะมีคนกล่าวว่า การที่สำเร็จได้นั้นเป็นเพราะโชคดีที่ได้ทำเลดีมากกว่าประเด็นนี้ผู้บริหารไขคำตอบให้ว่า “ต้องบอกว่า แม้สยามจะเป็นไพรม์โลเกชัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้ที่ตั้งร้านที่อยู่ในโลเกชันที่ดีที่สุดเสมอไป ดังนั้น หน้าที่ของเราคือ เราต้องเปลี่ยนโลเกชันที่มีให้เป็นทำเลทองคำ ด้วยการออกแบบร้านและสร้างแบรนดิ้งให้แข็งแรง จนทำให้ร้านเราเหมือนอยู่ในไพรม์โลเกชันทุกที่”

ที่สำคัญคือ ธุรกิจเดิมที่เคยทำมามีร้านทำเล็บ เป็นธุรกิจที่เติบโตต่อมาได้ในทำเลหลักคือสยามสแควร์ซอย 3 ก็อยากที่จะใช้สถานที่แห่งนี้เป็นจุดกำเนิดทุกแบรนด์ต่อไปไม่ว่าจะเป็น Nice Two Meat U ก็เปิดสาขาแรกที่นี่ เป็นแฟลกชิปสโตร์ เรื่อยมาเป็นร้าน Fire Tiger, ร้าน E BOMB, ร้าน Mil Toast House และร้าน Da Tang กระทั่งสยามสแควร์ซอย 3 กลายเป็นแหล่งสร้างธุรกิจของบริษัท


คู่หูอีกสาวหนึ่งที่ปั้นธุรกิจจนประสบความสำเร็จมาด้วยกันคือ นันทนัช เอื้อศิริทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รวยไม่หยุด จำกัด เสริมถึงคอนเซ็ปต์ในการออกแบบร้าน “Dosan Dalmatian by Mammamia” ที่ชวนให้สะดุดตา สมกับเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของสยามสแควร์ ว่า เพราะรู้อยู่แล้วว่าการจะหาโลเกชันที่เป็นบ้านสไตล์ชนบทในสยามให้เหมือนที่เกาหลีนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น พอคิดจะเปิดร้านที่ Block I ซึ่งมีพื้นที่ 4 ชั้น เลยต้องปรับดีไซน์ใหม่ เพื่อสร้างความแปลกใหม่ ออกแบบทุกมุมของร้านให้ สามารถถ่ายรูปสวย มีความ Instagrammable

“ที่เกาหลี คอนเซ็ปต์การตกแต่งร้านเขาจะคล้ายบ้านในแถบยุโรปชนบท มีน้ำพุอยู่ในร้านเป็นซิกเนเจอร์ แต่พอของเรามาอยู่ในตึก 3 ชั้น เราเลยออกแบบให้ดูเป็นตึกกระจกใสที่ดูแล้วมีความเป็นร้านดัลเมเชียนในเมือง มาพร้อมชั้น rooftop ซึ่งเราดึงดูดให้ลูกค้าอยากขึ้นไปเช็กอิน ด้วยการจำลองน้ำพุแบบมีดอกไม้หลากสีสันเหมือนกับร้านที่เกาหลีไปไว้ด้านบน เพื่อเป็นอีกหนึ่งกิมมิกให้ลูกค้าถ่ายรูป ส่วนภายในร้านยังคงการตกแต่งที่มีลายจุดและรูปภาพของสุนัขดัลเมเชียนสีสันจัดจ้านประดับอยู่ตามผนังในมุมต่างๆ และใช้จุดเด่น สีชมพูช็อกกี้พิงก์ของร้านมัมมาเมียเข้ามาเพิ่มความสดใส ให้ตรงคอนเซ็ปต์ของร้าน”

สำหรับแผนการขยายธุรกิจในอนาคต ชุติมากล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับ “Dosan Dalmatian by Mammamia” ตอนนี้ยังอยู่ในช่วง Soft Opening หลังจากเปิดตัวไปเมื่อช่วงปีใหม่ 2566 ก็ได้รับกระแสตอบรับดีมาก จนมีลูกค้ามารอคิว แถวยาวในวันหยุดตลอด ในอนาคตจะมีการเพิ่มเมนูใหม่ๆ เข้ามาเสริมทัพอีก 50%


กล่าวได้ว่า “Dosan Dalmatian by Mammamia” มาเปิดร้านได้ถูกจังหวะถูกเวลาพอดีในช่วงเทศกาลเลยก็ไม่ผิด
แม้ว่าจะยังอยู่ในช่วงของการเริ่มเปิดบริการ แต่ก็มีแผนงานขยาสาขารองรับไว้แล้วเช่นกัน โดยจะเน้นเลือกโลเกชันที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายจริงๆ จะไม่เปิดแบบเน้นปริมาณอย่างเดียว เพราะไม่มีประโยชน์หากไปเปิดสาขาแล้ว แต่ทำเลตรงนั้นมันไม่ใช่ธุรกิจไปไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมของบริษัทแล้ว ในปี 2566 นี้ยังมีแผนจะเปิดร้านแบรนด์ใหม่ๆ เพิ่มอีกอย่างต่ำ 4 แบรนด์ โดยยังคงคอนเซ็ปต์ ร้านอาหารและเครื่องดื่มสไตล์เกาหลี เป็นหลักเช่นเดิม

ทว่า จะเป็นอาหารประเภทใด หรือขนมหวานประเภทใด แนวไหน ต้องจับตาดูกันต่อไป


“เป้าหมายระยะยาวของเรา คือเป็นผู้นำในตลาดอาหารและเครื่องดื่มสไตล์เกาหลีในไทย ซึ่งการจะไปถึงจุดนั้นได้ ไม่ได้วัดจากจำนวนแบรนด์ที่เรานำเข้ามา หรือ ตัวเลขการเติบโตของบริษัท แต่ต้องมาจากกระแสตอบรับของลูกค้า เมื่อไหร่ที่เราเป็น top of mind ที่ลูกค้าคิดถึงอาหารและเครื่องดื่มสไตล์เกาหลีเมื่อไหร่ ต้องนึกถึงร้านอาหารในเครือของเรา เมื่อนั้น ถึงจะพิสูจน์ว่าเราเป็นผู้นำในตลาดนี้อย่างแท้จริง” ชุติมาย้ำหนักแน่น

ทั้งนี้ ทั้งสองสาวยังมีความเชื่อมั่นว่า เทรนด์เกาหลียังอยู่ในกระแสเมืองไทยต่อไปอีกอย่างน้อย 10 ปี เพราะรัฐบาลเกาหลีเองยังคงส่งเสริม Soft Power จากเกาหลี จนตอนนี้ขยายไปทุกวงการ แม้แต่ในกลุ่มลักชัวรี แบรนด์ก็ยังหันมาใช้โกลบอลแบรนด์แอมบาสซาเดอร์จากฝั่งเกาหลีมากขึ้น ดังนั้น เทรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มจากเกาหลียังมีศักยภาพอีกมากให้ขยายต่อแน่นอน






กำลังโหลดความคิดเห็น