กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ชี้ช่องผู้ประกอบการไทยส่งออกโกโก้และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากโกโก้เจาะตลาดอินเดีย หลังพบตลาดมีการขยายตัวสูง และสินค้าไทยหลายรายการมีโอกาสที่จะทำตลาดได้ เผยยังสามารถใช้ประโยชน์จาก FTA อาเซียน-อินเดียในการลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ด้วย พร้อมแนะพิจารณาเข้าไปร่วมลงทุนกับผู้ผลิตนมและน้ำตาล ต่อยอดใช้โกโก้ทำขนม เครื่องดื่ม ของหวาน
นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า ตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้มอบหมายให้กรมฯ ทำการสำรวจลู่ทางการส่งออกให้กับสินค้าไทยไปยังประเทศต่างๆ ล่าสุดได้รับรายงานจาก น.ส.สุพัตรา แสวงศรี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย ถึงโอกาสในการขยายตลาดสินค้าโกโก้และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากโกโก้เจาะตลาดอินเดีย เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นตามการขยายตัวของตลาด ที่ชาวอินเดียเริ่มมีการบริโภคสินค้าในกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ การเติบโตของตลาดสินค้าดังกล่าวมีผลการศึกษาของยูโรมอนิเตอร์ (Euromonitor) รายงานว่าสินค้าของหวานในอินเดียมีมูลค่า 118,000 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมถึงช็อกโกแลต ลูกอม อมยิ้ม และหมากฝรั่ง โดยพบว่าตลาดช็อกโกแลตมีแนวโน้มจะเติบโตเป็นเท่าตัวในปี 2570 สอดคล้องกับผลการศึกษาของ IMARC Group ที่คาดการณ์ว่าตลาดช็อกโกแลตในอินเดียจะเติบโตเฉลี่ย 12.1% ต่อปี ในช่วงปี 2563-2569 ในขณะที่ BlueWeave Consulting คาดการณ์ว่าตลาดช็อกโกแลตในอินเดียว่าจะเติบโตเฉลี่ย 11% ต่อปีในช่วงปี 2565-2571
ขณะเดียวกันยังมีปัจจัยด้านประชากรที่ครึ่งหนึ่งของคนอินเดียมีอายุน้อยกว่า 25 ปี และ 2 ใน 3 ของประชากรมีอายุต่ำกว่า 35 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่สามารถบริโภคช็อกโกแลตได้ในปริมาณมาก รวมถึงครอบครัวชนชั้นกลางมีการขยายตัวมากขึ้น สะท้อนถึงกำลังซื้อที่จะเพิ่มขึ้นและชาวอินเดียยังนิยมบริโภค และมอบของขวัญด้วยช็อกโกแลตเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงคาดว่าความต้องการของตลาดจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้อินเดียเพิ่มการเพาะปลูกโกโก้มากขึ้น แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการซึ่งอินเดียต้องการใช้เมล็ดโกโก้แห้งประมาณ 5 หมื่นตันต่อปี เพื่อนำมาผลิตสำหรับการบริโภคภายในประเทศและการส่งออก
นายภูสิตกล่าวว่า ที่ผ่านมาอินเดียนำเข้าเมล็ดโกโก้จากไทยเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2561 เป็นมูลค่า 1.57 แสนเหรียญสหรัฐ และเพิ่มขึ้นเป็น 3.62 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2562 เพิ่มขึ้น 2,193% แต่หลังจากนั้น อินเดียหันไปนำเข้าจากโดมินิกันและเนเธอร์แลนด์แทน และไม่พบการนำเข้าจากไทยอีก ส่วนของผงโกโก้ ไทยยังไม่มีการส่งออกไปอินเดีย แต่พบว่ามีอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และมาเลเซีย ครองตลาดอินเดียอยู่ในสัดส่วนถึง 94% ของการนำเข้าทั้งหมด จึงเป็นไปได้ว่าไทยอาจโอกาสแทรกตลาดได้บ้าง โดยผู้นำเข้าอินเดียสามารถใช้สิทธิยกเว้นภาษีนำเข้าเมล็ดโกโก้และผงโกโก้จากไทยได้ภายใต้ FTA อาเซียน-อินเดียได้ ส่วนช็อกโกแลตและผลิตภัณฑ์อื่นที่ทำจากโกโก้ ในปี 2564 อินเดียนำเข้าจากไทยเป็นมูลค่า 2.05 แสนเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 819% โดยไทยเป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 24 ของอินเดีย มีสัดส่วนตลาดเพียง 0.26% ในขณะที่สิงคโปร์ และมาเลเซียเข้าไปเจาะตลาดและเป็นแหล่งนำเข้า Top 10 ของอินเดียแล้ว
อย่างไรก็ตาม กรมฯ ประเมินว่าไทยน่าจะขยายการส่งออกผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไปยังอินเดียได้อีก นอกเหนือจากช็อกโกแลตทั่วไปแล้ว ผู้ผลิตนมและไอศกรีมของไทยอาจนำโกโก้มาใช้ทำไอศกรีมช็อกโกแลตเพื่อส่งออกไปอินเดียด้วย ซึ่งเป็นสินค้าที่สามารถใช้สิทธิยกเว้นภาษีภายใต้ FTA โดยไทยเป็นแหล่งนำเข้าหลักของอินเดียสำหรับสินค้าไอศกรีมอยู่แล้ว โดยควรทดลองนำผลไม้อบแห้งจากไทยไปใช้เป็นส่วนผสมของช็อกโกแลตและไอศกรีมด้วย ซึ่งในปัจจุบันมีแบรนด์ทางเลือกในตลาดยังไม่มากนัก
นอกจากนี้ ทูตพาณิชย์ยังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่าผู้ประกอบการที่มีความพร้อม ควรพิจารณาไปลงทุนในอินเดีย โดยเฉพาะการร่วมลงทุนกับผู้ผลิตนมและน้ำตาลในอินเดีย ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตและค่าขนส่ง โดยสามารถนำเมล็ดและผงโกโก้จากไทยมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงการเปิดร้านขนม แฟรนไชส์ ที่ให้บริการเครื่องดื่มและของหวานด้วย