xs
xsm
sm
md
lg

EGCO อัดงบลงทุนปี 66 แตะ 3 หมื่นล้าน ลงทุนโรงไฟฟ้าเพิ่มอีก 1 พัน MW

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ผลิตไฟฟ้า” ตั้งงบลงทุนปี 2566 อยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายกำลังผลิตไฟฟ้าใหม่เพิ่มอีก 1,000 เมกะวัตต์ เน้นลงทุนในสหรัฐฯ และยื่นประมูลขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทั้งโซลาร์ฯ และโซลาร์พ่วงแบตเตอรี่ในไทย

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO เปิดเผยว่า ในปี 2566 บริษัทตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่อีก 1,000 เมกะวัตต์ (MW) โดยบริษัทตั้งงบลงทุนปีหน้าอยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้สำหรับแสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งขยายธุรกิจไฟฟ้าที่ผลิตจากเชื้อเพลิงดั้งเดิมและพลังงานหมุนเวียนในพื้นที่ที่มีฐานธุรกิจอยู่แล้ว โดยเฉพาะในสหรัฐฯ


ขณะที่การลงทุนในประเทศ บริษัทมีแผนที่จะเข้าร่วมประมูลโครงการพลังงานหมุนเวียนของภาครัฐ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าโซลาร์ และโรงไฟฟ้าโซลาร์ผสมระบบแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน ซึ่งวางเป้าหมายกำลังการผลิตอยู่ที่ประมาณ 1,000 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโครงการที่บริษัทลงทุนเอง และโครงการที่ร่วมกับพันธมิตร เบื้องต้นได้เตรียมความพร้อมของที่ดินไว้แล้ว โดยปัจจุบันเอ็กโก กรุ๊ป มีกำลังผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมทั้งสิ้น 6,377 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ บริษัทยังจะพัฒนาพลังงานสะอาดใหม่ๆ ได้แก่ การลงทุนในโครงการนำร่องผลิตไฟฟ้าจากเซลล์เชื้อเพลิงที่โรงไฟฟ้า “คลองหลวง” จ.ปทุมธานี กำลังผลิต 5 เมกะวัตต์ ที่จะเป็นต้นแบบโรงไฟฟ้ากรีนไฮโดนเจน คาดว่าจะสามารถตัดสินใจลงทุนได้ในปีหน้า ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษารูปแบบการลงทุนที่เหมาะสม และความต้องการจากลูกค้าอุตสาหกรรม รวมถึงยังมองโอกาสขยายความร่วมมือธุรกิจต้นน้ำ(กรีนไฮโดรเจน) ด้วย ทั้งผ่านความร่วมมือกับซาอุดีอาระเบียที่บริษัทมี MOU อยู่แล้ว และจากความร่วมมือภายใต้ MOU ร่วมของ กฟผ.ในอนาคตด้วย


ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 จนถึงปัจจุบันบริษัทประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจและการขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ การเดินเครื่องเชิงพาณิชย์โรงไฟฟ้าพลังน้ำ “น้ำเทิน 1” กำลังผลิตติดตั้งรวม 650 เมกะวัตต์ในสปป.ลาว การซื้อหุ้นเพิ่มอีก 10% ในโรงไฟฟ้าพลังงานลม “ชัยภูมิวินด์ฟาร์ม” และ “เทพพนาวินด์ฟาร์ม” จ.ชัยภูมิ ส่งผลให้ EGCO กลายเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมดของโรงไฟฟ้าทั้ง 2 แห่ง การขยายการลงทุนในสหรัฐอเมริกาด้วยการซื้อหุ้น 49% ในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ “ไรเซ็ก” กำลังผลิต 609 เมกะวัตต์ และล่าสุดการผนึกกำลังลงนามบันทึกข้อตกลงระหว่างบริษัทในกลุ่มกฟผ. กับกระทรวงการลงทุนแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เพื่อเปิดประตูสู่การเข้าไปดำเนินธุรกิจลงทุนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการเปลี่ยนผ่านพลังงานดั้งเดิมไปสู่พลังงานสะอาด รวมถึงระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าการให้บริการงานเดินเครื่องและบำรุงรักษากับภาครัฐและภาคเอกชนของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียเพื่อบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนของทั้งสองประเทศ

สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 46,737 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรจากการดำเนินงาน 10,345 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,290 ล้านบาทหรือคิดเป็น 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากโรงไฟฟ้า “พาจูอีเอส” มีรายได้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในขณะที่โรงไฟฟ้า “ขนอม” โรงไฟฟ้า “ไซยะบุรี” และโรงไฟฟ้า “แก่งคอย 2” มีปริมาณการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับโรงไฟฟ้า “น้ำเทิน 1” เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์และจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2565


กำลังโหลดความคิดเห็น