xs
xsm
sm
md
lg

ทช.จ่อทำ MOU ร่วม 6 หน่วยงาน วางแนวอนุรักษ์-ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมเซฟ "โลมาอิรวดี" ฝูงสุดท้ายก่อนตอกเข็ม "สะพานข้ามทะเลสาบสงขลา"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ทช.หารือ 6 หน่วยงานเตรียมทำบันทึกข้อตกลง (MOU) วางแผนอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ป้องกันโลมาอิรวดีสูญพันธุ์ ก่อนสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา 4.84 พันล้านบาท คาดลงนามได้ใน ม.ค. 66 เริ่มสร้างปลายปี 66

นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา-อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง วงเงิน 4,841 ล้านบาท ว่า จากที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2565 เห็นชอบให้ดำเนินโครงการฯ พร้อมกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือแนวทางการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และแก้ไขปัญหาการใกล้สูญพันธุ์ของโลมาอิรวดีในบริเวณทะเลสาบสงขลา ซึ่งนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้กรมทางหลวงชนบท (ทช.) เร่งหารือร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดแนวทางให้ชัดเจนเป็นรูปธรรมเพื่อนำสู่การอนุรักษ์ คุ้มครองและขยายพันธุ์โลมาอิรวดี ตลอดจนฟื้นฟูสภาพแวดล้อมทะเลสาบสงขลาให้เหมาะสมและยั่งยืน


วันที่ 1 พ.ย. 2565 ทช.ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 6 หน่วยงาน ประกอบด้วย 1. กระทรวงคมนาคม 2. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 3. กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 4. สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 5. กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช 6. สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ร่วมประชุมหารือแนวทางการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อแก้ปัญหาการใกล้สูญพันธุ์ของโลมาอิรวดีในบริเวณทะเลสาบสงขลา โดยมีนางสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมเป็นประธาน

นายอภิรัฐกล่าวว่า ที่ประชุมได้ข้อสรุปในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกันว่าจะมีการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ดำเนินการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อแก้ปัญหาการใกล้สูญพันธุ์ของโลมาอิรวดี ในบริเวณทะเลสาบสงขลา ระหว่างกระทรวงคมนาคม กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีคณะกรรมการจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ประกอบด้วย ผู้แทนกรมทางหลวงชนบท กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมประมง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และผู้แทนจากหน่วยงานในพื้นที่

เบื้องต้นกำหนดที่จะหารือครั้งต่อไปในวันที่ 8 และ 22 พ.ย. 2565 เพื่อวางแผนการจัดทำร่าง MOU และในวันที่ 29 พ.ย. 2565 จะนำเข้าที่ประชุมผู้บริหารเพื่อพิจารณาเห็นชอบกรอบความร่วมมือ จากนั้นจะเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อขอพิจารณาอนุมัติในเดือน ธ.ค. 2565 และคาดว่าจะมีพิธีลงนาม MOU บริเวณจุดเริ่มต้นโครงการก่อสร้างจังหวัดพัทลุง ในเดือน ม.ค. 2566


สำหรับ ทช.นั้นมีมาตรการที่จะดำเนินการโดยแบ่งเป็น 3 ระยะ ประกอบด้วย ก่อนดำเนินการก่อสร้าง จะต้องทำการศึกษาร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อนำผลการศึกษามาดำเนินการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด, ระหว่างก่อสร้าง หากมีอะไรส่งผลกระทบต่อโลมาอิรวดีหรือสิ่งแวดล้อม ทช.จะปรับเปลี่ยนแผนดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด และหลังการก่อสร้าง ทช.จะติดตามผลการดำเนินงานในทุกมิติ เพื่อที่จะพัฒนาประเทศควบคู่ไปกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน

ทั้งนี้ ทช.จะนำข้อคิดเห็นของผู้เข้าร่วมประชุมทุกท่านมาทำการศึกษา เพื่อหาแนวทางการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมแก้ไขปัญหาการใกล้สูญพันธุ์ของโลมาอิรวดีในบริเวณทะเลสาบสงขลาต่อไป


สำหรับสะพานข้ามทะเลสาบสงขลาเกิดขึ้นจากความต้องการของประชาชนในพื้นที่ที่ต้องการการเดินทางและโครงข่ายถนนที่เชื่อมโยงระหว่างฝั่งตะวันตกกับฝั่งตะวันออกของทะเลสาบสงขลา จากความต้องการดังกล่าว กรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม จึงได้ดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลาพร้อมถนนเชื่อมต่อกับถนนโดยรอบ มีจุดเริ่มต้นโครงการบริเวณถนนทางหลวงชนบทสาย พท.4004 กม.ที่ 3+300 บริเวณบ้านฝาละมี ตำบลจองถนน อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง วางแนวข้ามทะเลสาบสงขลาไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เชื่อมต่อกับจุดสิ้นสุดโครงการที่ถนน อบจ.สงขลา (ถนนรอบเกาะใหญ่) บ้านแหลมยาง ตำบลเกาะใหญ่ อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา มีช่วงข้ามทะเลสาบ ยาว 6.600 กิโลเมตร ระยะทางทั้งสิ้น 7 กิโลเมตร เมื่อก่อสร้างสะพานแล้วเสร็จจะสามารถพัฒนาโครงข่ายถนนในบริเวณดังกล่าวให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น สามารถลดระยะเวลาการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง และลดระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ส่งเสริมการท่องเที่ยว และใช้เป็นเส้นทางอพยพเมื่อมีภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างสะพานมีระยะเวลาในการก่อสร้าง 3 ปี (ตั้งแต่ปี 2566-2568) มีวงเงินรวมทั้งสิ้น 4,841 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังจัดหาแหล่งเงินกู้ตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ อัตราส่วนของแหล่งเงินกู้และเงินงบประมาณเป็น 70:30 ซึ่งคาดว่าจะสามารถก่อสร้างได้ปลายปี 2566 และพร้อมเปิดให้ประชาชนใช้สัญจรได้ภายในปี 2569


กำลังโหลดความคิดเห็น