การตลาด - อิปซอสส์เผยผลวิจัยชุดล่าสุด ชุด SEA AHEAD wave 6 หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดเป็นโรคประจำถิ่น โดยภาพรวมมั่นใจสภาวะเศรษฐกิจมีการฟื้นตัว แต่ประชาชนวิตกกังวลสูงในภาวะเงินเฟ้อ และไม่มั่นใจด้านรายได้ ผู้บริโภคยอมจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อสุขภาพ และเลือกที่จะตัดรายจ่ายกลุ่มสินค้าที่ไม่จำเป็นและสินค้าราคาแพง โดยกลุ่มที่มีการซื้อมากขึ้น คือ กลุ่มอาหาร มาเป็นอันดับ 1 ตามมาด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด สินค้าส่วนบุคคล ภัตตาคารและร้านกาแฟ และเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ ตามลำดับ
นายภาคี เจริญชนาพร Country Service Line Leader อิปซอสส์ เปิดเผยข้อมูลวิจัยชุดพิเศษ SEA AHEAD wave 6 “สถานการณ์โควิด-19 ระลอก 6 จากการแพร่ระบาดสู่โรคประจำถิ่น ที่ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้บริโภค แบรนด์สินค้า และปัจจัยที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชากร ตลอดจนแนวทางการรับมือสำหรับแบรนด์และนักการตลาด
โดย อิปซอสส์ ได้ติดตามพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ชุดวิจัยและสำรวจนี้นับเป็นชุดที่ 6 ทำการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 3,000 ราย เป็นชาย 49 หญิง 51 สำหรับ 5 ช่วงอายุ รวมถึงกลุ่มเยาวชนรุ่นใหม่ โดยสำรวจตลาดสำคัญในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวม 6 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม และ ประเทศไทย ทำการสำรวจระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2565 พร้อมถามถึงความคิดเห็นสำหรับการคาดการณ์ในอีก 6 เดือนในอนาคตอีกด้วย
นายภาคีเปิดเผยว่า ภาพรวมความเชื่อมั่นของประชากรในกลุ่มประเทศแถบตะวันออกเฉียงใต้กับสถานการณ์โควิด ที่มีการเปลี่ยนจากภาวการณ์แพร่ระบาดสู่โรคประจำถิ่น โดยอินโดนีเซียมีความเชื่อมั่นสูงสุด และไทยในอัตราต่ำสุด มีสถิติดังนี้ อินโดนีเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และไทย ในอัตรา 85% 81% 74% 68% 65% และ 55% ตามลำดับ
ทั้งนี้ พฤติกรรมของประชากรชาวไทยเกี่ยวกับกิจกรรมที่อยากทำในอีก 3 เดือนข้างหน้า เรียงตามลำดับดังนี้ - ไปเยี่ยมเพื่อนและครอบครัวที่บ้าน ไปภัตตาคาร ท่องเที่ยวภายในประเทศ ไปร่วมงานวัฒนธรรมและงานชุมนุม ใช้บริการรถขนส่งมวลชน ไปเข้ายิมและทำกิจกรรมด้านกีฬา ไปเที่ยวต่างประเทศ ในอัตรา 67%, 63%, 60%, 50%, 49%, 49% และ 43% ตามลำดับ
นอกจากนี้ กิจกรรมที่ทำในช่วงการแพร่ระบาดโควิด คือ เน้นสุขภาพ และชอปปิ้งออนไลน์ โดย 96% ยอมทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น เพื่อการดูแลสุขภาพร่างกายตนเองให้ดียิ่งขึ้น และ 83% ยอมตัดความสะดวกสบายบางอย่าง เพื่อเอาเงินไปซื้อสินค้าด้านสุขภาพ
คนไทยนิยมซื้อผ่านการ ไลฟ์สตรีม โดยแพลตฟอร์มที่นิยมคือ โซเชียลมีเดีย อี-คอมเมิร์ซ และ Twitch
นายภาคีเปิดเผยเพิ่มเติมว่า พฤติกรรมการซื้อของออนไลน์ยังคงเป็นช่องทางที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยสถิติการซื้อของออนไลน์ใน 6 เดือนที่ผ่านมา เปรียบเทียบระหว่างช่วง พ.ย. 64 ถึง พ.ค. 65 สำหรับกิจกรรม มีการซื้อมากขึ้น / การซื้อเท่าเดิม และซื้อน้อยลง ดังนี้ : - ซื้อมากขึ้นเป็นสัดส่วน 51 : 47% / เท่าเดิม 32 : 36% / ซื้อน้อยลง 13 :14% และ ไม่ระบุ
จะเห็นว่าเปอร์เซ็นต์ที่มีการซื้อเท่าเดิมสูงขึ้น ส่วนการซื้อมากขึ้นกลับมีพฤติกรรมในการซื้อลดลง และจำนวนคนกลุ่มที่ซื้อน้อยลงมีอัตราสูงขึ้นเล็กน้อย
ทั้งนี้ ประเภทสินค้าที่ซื้อ ได้แก่ เสื้อผ้า / รองเท้า /แฟชั่น - สินค้าส่วนบุคคล และผลิตภัณฑ์ด้านความงาม กลุ่มอาหาร กลุ่มของใช้ในบ้าน กลุ่มเครื่องดื่ม ของเล่นและเกม ผลิตภัณฑ์ซ่อมแซมบ้าน
ผู้บริโภคไทยยังคงนิยมซื้อของผ่านช่องทางออฟไลน์ เช่น ซูเปอร์มาร์เกตและไฮเปอร์มาร์เกต เป็นอันดับ 1 ร้านสะดวกซื้อและร้านโชวห่วยตามมาติดๆ แต่สัดส่วนของการซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ก็มีไม่น้อยเช่นกัน
โดยแพลตฟอร์มการไลฟ์สตรีม ชอปปิ้ง ที่นิยม 71% อีคอมเมิร์ซ (Shoppee Lazada)
ประชากรในกลุ่ม SEA มีความเชื่อมั่นในภาพรวมความเชื่อมั่นของสภาวะเศรษฐกิจจะมีการฟื้นตัวดีขึ้น ส่วนความคิดเห็นด้านสถานะทางด้านการเงินในครัวเรือน ในอีก 6 เดือน ดีขึ้น / เหมือนเดิม หรือแย่ลง โดยอัตราที่สถานภาพทางการเงินดีขึ้น 27% และคิดว่าแย่ลง 36% ส่วนเท่าเดิม คือ 37% โดยความมั่นใจว่าในสถานภาพด้านการเงินในครัวเรือน ในอีก 6 เดือนข้างหน้า (จาก พ.ค. 2565) การเงินดีขึ้น เหมือนเดิม และแย่ลง ในอัตรา 51% 32% และ 17% ตามลำดับ เป็นผลให้ประชากรส่วนใหญ่จะมีการตัดงบหรือชะลอการซื้อสินค้าชิ้นใหญ่ราคาแพง โดยกลุ่มสินค้าที่มีการจับจ่ายมากขึ้น และกลุ่มที่มีการซื้อลดลง เป็นสัดส่วน ดังนี้
กลุ่มที่มีการซื้อมากขึ้น คือ อาหารสำหรับปรุงเองที่บ้าน ผลิตภัณฑ์ด้านทำความสะอาด สินค้าส่วนบุคคล ภัตตาคารและร้านกาแฟ และเสื้อผ้า-รองเท้า-เครื่องประดับ ในอัตรา 50% 35% 31% 22% และ 19% ตามลำดับ
ส่วนกลุ่มสินค้าและบริการที่มีการใช้จ่ายน้อยลง ได้แก่ การท่องเที่ยวภายในประเทศ ท่องเที่ยวต่างประเทศ กิจกรรมด้านวัฒนธรรม ภัตตาคารและร้านกาแฟ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ในอัตรา 40% 39% 38% 33% และ 30% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวไทยยังมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกันถึง 4 เดือน
คนไทยเลือกแบรนด์ที่สะท้อนภาพลักษณ์และคุณค่าของตนเอง และอยากให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นตัวช่วยในการเลือกสินค้าและบริการ ทั้งนี้ สำหรับกลุ่มผู้บริโภคชาวไทย 71% ยินดีจ่ายเพิ่มให้กับแบรนด์ที่สามารถเสริมภาพลักษณ์ให้ตนเอง และ 74% เลือกซื้อแบรนด์ที่สะท้อนคุณค่าให้กับตนเองได้ แต่สำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่จะให้คุณค่าต่อแบรนด์มากกว่าอัตราเฉลี่ยของภาพรวมการบริโภค ดังนี้ 76% ของคนไทย Gen Z มักเลือกซื้อแบรนด์ที่สะท้อนถึงคุณค่าส่วนตัว 73% ยินดีจ่ายเพิ่มให้กับแบรนด์ที่สร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวเอง
ทั้งนี้ ในยุคที่ข้อมูลล้นหลามและเข้าถึงได้โดยง่าย กระบวนการตัดสินใจที่ไม่ยุ่งยาก เป็นกุญแจสำคัญสำหรับแบรนด์สินค้าและนักการตลาด ส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภค ในการหาตัวช่วยในการช่วยตัดสินใจ โดย 69% ของผู้บริโภคชาวไทยต้องการให้ผู้เชี่ยวชาญเลือกผลิตภัณฑ์และบริการแทนการตัดสินใจเอง
ความวิตกกังวลและความเชื่อมั่นในสภาวะเศรษฐกิจหลังโควิดสู่โรคประจำถิ่น ภาวะเงินเฟ้อ และความไม่แน่นอนของรายได้ เป็นปัญหาที่วิตกกังวลสูงสุด
ความกังวลด้านเงินเฟ้อมีอัตราสูงขึ้นอย่างเป็นนัยสำคัญ ส่วนโรคระบาดโควิด-19 มีอัตราลดต่ำลงอย่างเด่นชัด ทั้งนี้ ปัญหาดังกล่าวก็เป็นปัจจัยด้านความกังวลใจของประชากรทั่วโลก และประชากรในกลุ่ม SEA เช่นกัน แต่ลำดับความกังวลใจแตกต่างกัน ดังนี้
อิปซอสส์ สรุปปัญหาและปัจจัยที่ส่งผลต่อธุรกิจ พร้อมแนะแนวทางการรับมือวิกฤตตลาด
ผู้บริโภคในกลุ่มประเทศ SEA โดยเฉพาะคนไทย ต่างวิตกกังวลในความไม่แน่นอนของสุขภาพทางการเงินในอนาคต ซึ่งนำไปสู่อารมณ์ที่อ่อนไหว ดังนี้
1. ถึงแม้ว่าผู้บริโภคจะรู้สึกว่าเศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น เมื่อเทียบกับปี 2564 อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อได้กลายเป็นปัญหาสำคัญที่สร้างความวิตกกังวลเป็นอย่างสูง แทนความกลัวต่อโรคระบาดโควิด-19
2. ในขณะที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความพยายามในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคอื่นๆ ในโลก แต่ประชากรต่างก็ยังมีความวิตกกังวลถึงผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจไม่สามารถพลิกฟื้นได้ดีเท่าที่ควร
3. ภาวะเงินเฟ้อและราคาที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการครองชีพและรายได้ ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากของผู้ที่ยังรอคอยการฟื้นตัวจากผลกระทบของโควิด-19
4. เนื่องจากผู้บริโภคจำต้องจับจ่ายเกี่ยวกับกลุ่มอาหาร ของใช้ส่วนตัว และเชื้อเพลิงมากขึ้น ทำให้พวกเขาต้องตัดงบสำหรับกลุ่มสินค้าที่ไม่จำเป็นและที่มีราคาสูงไว้ก่อน ทำให้พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคหันมาคำนึงถึงคุณค่าสินค้าเพื่อความคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ แบรนด์จำเป็นต้องคำนึงถึงจุดแข็ง และกลยุทธ์ด้านราคาที่ส่งผลต่อความอ่อนไหวด้านความรู้สึกของผู้บริโภคในภาวะเงินเฟ้อ ตลอดจนต้องพิจารณาปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบคอบในการทำแผนการตลาด
5. ผู้บริโภคจะเลือก "ผู้เชี่ยวชาญ" มากกว่า “อินฟลูเอนเซอร์” เพียงอย่างเดียว ยิ่งกว่านี้ ผู้บริโภคจะเลือกแบรนด์สินค้าที่สะท้อนคุณค่าของตัวตนและความคุ้มค่า จุดนี้อาจใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อแบรนด์สินค้าในการชนะใจผู้บริโภค และการสร้างความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว