ปตท.เผยไตรมาส 2/65 มีรายได้เติบโตขึ้นกว่าไตรมาส 2/64 และไตรมาสก่อน เนื่องจากมีปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นและราคาน้ำมันและก๊าซฯ ก็ปรับสูงขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันดิบดูไบช่วงครึ่งปีหลังนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล คาดปีหน้าราคาน้ำมันดิบต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐ เหตุกลุ่มโอเปกพลัสทยอยผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) (PTT) เปิดเผยแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/2565 ว่า ปตท.มีรายได้เติบโตขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาส 1/2565 เนื่องจากราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นทั้งราคาน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ รวมถึงราคาปิโตรเคมีก็ปรับขึ้นตามราคาวัตถุดิบคือแนฟทาที่สูงขึ้น อีกทั้งมีปริมาณการขายที่เติบโตขึ้นหลังจากการเปิดเมือง
ส่วนผลประกอบการในปีนี้ บริษัทจะรับรู้กำไรจากการลงทุน Lotus Pharmaceutical ในสัดส่วนการถือหุ้น 37% และ Adalvo 60% รวมทั้งรับรู้รายได้จากการขายธุรกิจเหมืองถ่านหิน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทอินโดนีเซียที่ดำเนินธุรกิจเหมืองถ่านหิน คาดว่าจะตัดขายธุรกิจเหมืองถ่านหินได้ภายในปี 2565 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดี ทำให้ได้ราคาดีพอสมควรตามนโยบาย ปตท.ที่มุ่งสู่ธุรกิจพลังงานสีเขียว
"ในช่วงที่เหลือของปีนี้กลุ่ม ปตท.ยังเดินหน้าขยายการลงทุนด้านพลังงานตามแผนลงทุน 5 ปี เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานพลังงานที่ต้องวางแผนการลงทุนระยะยาวเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคต แต่การลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่เทรนด์ของอนาคตกลุ่ม ปตท.ก็จะไม่ลงทุนใหม่เพิ่ม เช่น โรงกลั่นน้ำมัน และตัดขายบางธุรกิจออกไป คือเหมืองถ่านหิน เพราะ ปตท.มุ่งสู่ธุรกิจกรีนมากขึ้น"
นายอรรถพลกล่าวว่า แนวโน้มราคาน้ำมันดิบในช่วงที่เหลือของปีนี้จะทรงตัวในระดับสูงที่ระดับ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลบวก/ลบ ซึ่งประเมินราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบในปีนี้แตะ 103-104 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้ต้นทุนราคาขายปลีกพลังงานโดยรวมของไทยทั้งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ก๊าซ NGV และก๊าซ LPG ยังอยู่ในระดับสูง ดังนั้น แนวทางรับมือที่ดี คือทุกภาคส่วนต้องร่วมกันประหยัดการใช้พลังงาน เพื่อลดต้นทุนการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศในช่วงที่ราคาแพง
สำหรับแนวโน้มในปี 2566 คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะอ่อนตัวลงต่ำกว่าระดับ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลได้ หากสถานการณ์สงครามรัสเซียกับยูเครนไม่รุนแรงขึ้น ซึ่งราคาน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลงในปีหน้าเนื่องจากคาดว่าจะมีปริมาณการผลิตน้ำมันดิบเข้าสู่ตลาดมากขึ้น หลังกลุ่มประเทศผู้ผลิตและผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก (โอเปก) พลัส เตรียมทยอยปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเดือนละ 6 แสนบาร์เรลต่อวัน ซึ่งถึงสิ้นปีนี้จะมีซัปพลายน้ำมันดิบป้อนเข้าสู่ตลาดเพิ่มอีก 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ประกอบกับทิศทางเศรษฐกิจโลกไม่ได้เติบโตมากนัก ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันยังไม่หวือหวา ขณะที่ต้นทุนราคาพลังงานอื่นๆ เช่น ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ก็คาดว่าจะเริ่มทยอยอ่อนตัวลงตามทิศทางราคาน้ำมัน
“วิธีการที่ดีที่สุดในยามเกิดวิกฤตพลังงาน คือ การประหยัดพลังงาน โดย ปตท.มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจยึด 3 เรื่องหลัก คือ 1. ความมั่นคงด้านพลังงาน ซึ่งวันนี้ไทยไม่ได้เผชิญกับปัญหาการขาดแคลน 2. ราคาพลังงาน ซึ่งต้องเป็นไปตามตลาดการค้าเสรี และ 3. คำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องวางแผนให้เกิดสมดุลในทุกด้าน ไม่ถูกกระทบจากการกีดกันทางการค้าของโลก”
ทั้งนี้ ปตท.ได้เข้าไปช่วยแบ่งเบาภาระต้นทุนราคาพลังงานให้กลุ่มเปราะบาง ทั้งการใช้ส่วนลดราคา NGV และ LPG ตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงปัจจุบัน รวมเป็นงบประมาณเกือบ 3,300 ล้านบาทแล้ว และจะยืดอายุมาตรการช่วยเหลือตามนโยบายรัฐต่อไปอีก 3 เดือน เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชนกลุ่มเปราะบาง