xs
xsm
sm
md
lg

อานิสงส์ราคาน้ำมันพุ่ง หนุนหุ้นพลังงาน-ถ่านหิน-โรงกลั่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



โบรกเกอร์ เปิดโผ หุ้นกลุ่มโรงกลั่นฯ-ปิโตรเคมี-ปั๊มน้ำมัน-ถ่านหิน ทั้ง OR- BCP- PTG- PTT- TOP- BANPU- LANNA-AGE ประสานเสียงรับผลบวกยาว เหตุราคาน้ำมันพุ่งต่อเนื่อง หลังอียูประกาศห้ามนำเข้าน้ำมันของรัสเซียบางส่วน หวังตัดแหล่งเงินทุนทำสงคราม ขณะให้จับตาเงินเฟ้อกลับมาขยับเพิ่มอีกรอบในเดือน พ.ค.-มิ.ย. หลังราคาพลังงานเพิ่มไม่หยุด และปัจจัยแวดล้อมที่ร้อนแรงอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น

หลังจากเมื่อปลายปี 64 ข่าวปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตรที่เพิ่มปริมาณการผลิตตามข้อตกลงเดิมที่ 4 แสนบาร์เรลต่อวัน และเดือนธันวาคมสถานการณ์ของโรคระบาดไวรัสโควิด-19เริ่มคลี่คลาย การเปิดประเทศในหลายประเทศจึงเกิดขึ้น ส่งผลให้กิจกรรมและฟันเฟืองทางเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไป ทว่าราคาน้ำมันดิบ คือผลพวงส่วนหนึ่งได้รับแรงกดดันจากปริมาณน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่ม จากปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้น ภายหลังจากการลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของธนาคารกลางสหรัฐฯ จึงส่งผลกดดันต่อราคาน้ำมัน

ขณะที่ จากสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซียปะทุขึ้น กลายเป็นปัจจัยสำคัญต่อพลังงานของโลก แรกเริ่มหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าจะไม่ยืดเยื้อและไม่ลุกลาม แต่ผิดคาดเพราะยิ่งนานวันกลับพบว่ายิ่งบานปลาย ล่าสุด ผู้นำสหภาพยุโรปตกลงที่จะสั่งห้ามนำเข้าน้ำมันของรัสเซียบางส่วน สำหรับมาตรการชุดที่หกของการคว่ำบาตรมอสโก โดยการคว่ำบาตรครั้งนี้จะห้ามไม่ให้ซื้อน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมจากรัสเซียที่ส่งไปยังประเทศสมาชิกทางทะเล ซึ่งครอบคลุมการนำเข้าน้ำมันมากกว่า 2/3 จากรัสเซียในทันที โดยมีเป้าหมายเพื่อตัดแหล่งเงินทุนขนาดใหญ่ที่รัสเซียใช้เป็นเครื่องมือในการทำสงคราม และนั่นยิ่งส่งผลต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่ง และเป็นการหนุนความต้องการใช้ถ่านหินมาเป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันใน EU อีกด้วย เพราะราคาถ่านหินที่พุ่งสูงต่อเนื่อง

บล.เอเซียพลัส มอง OR- BCP- PTG รับประโยชน์

บล.เอเซียพลัส (ASPS) วิเคราะห์ว่าหลังจากผู้นำสหภาพยุโรปตกลงที่จะสั่งห้ามนำเข้าน้ำมันของรัสเซียบางส่วน สำหรับมาตรการชุดที่หกของการคว่ำบาตรมอสโก โดยการคว่ำบาตรครั้งนี้จะห้ามไม่ให้ซื้อน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมจากรัสเซียที่ส่งไปยังประเทศสมาชิกทางทะเล ซึ่งครอบคลุมการนำเข้าน้ำมันมากกว่า 2/3 จากรัสเซียในทันที โดยมีเป้าหมายเพื่อตัดแหล่งเงินทุนขนาดใหญ่ที่รัสเซียใช้เป็นเครื่องมือในการทำสงคราม

ทั้งนี้ คาดว่าจะทำให้เงินเฟ้อของหลายประเทศทรงตัวต่อในระดับสูง สังเกตจากเยอรมนีซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของยูโรโซน แสดงให้เห็นว่า CPI เพิ่มขึ้น 7.9% เทียบปีก่อน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2565 ที่ 7.4% และคาดการณ์ไว้ที่ 7.6% ขณะที่เงินเฟ้อยูโรโซน คาดอยู่ที่ 7.7% จากปีก่อน สูงกว่าเดือน เม.ย. ที่ 7.4% เทียบปีก่อน ขณะที่ไทยก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยเงินเฟ้อล่าสุดเดือน เม.ย. อยู่ที่ 4.65% จากปีก่อน และมีแนวโน้มสูง ต่อเนื่องในเดือน พ.ค. และ มิ.ย. อีกทั้งจาก คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลเป็น 33 บาทต่อลิตร หลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น โดยฐานะกองทุนน้ำมันติดลบแล้ว 8.1 หมื่นล้านบาท สำหรับหุ้นได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันปรับขึ้น คือ กลุ่มค้าปลีกน้ำมัน Trading OR, BCP, PTG และกลุ่มพลังงาน-ปิโตรฯ PTT และ TOP

บล.ทรีนีตี้ เชื่อโรงกลั่นรับค่าการกลั่นทะยาน

บล.ทรีนีตี้ มองว่า หุ้นกลุ่มโรงกลั่นน่าจะได้ประโยชน์จากค่าการกลั่นที่จะเพิ่มสูงขึ้นหลังราคาน้ำมันขาขึ้น อย่าง BCP -ESSO SPRC) (Consensus:12.66) และ TOP เนื่องจากยุโรปจะนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันค่าการกลั่นขึ้นสูงกว่า 30 เหรียญ/บาร์เรล เพราะขณะนี้ซัปพลายน้ำมันตึงตัว ประเมินสงครามรัสเซียยูเครนยืดเยื้อ และล่าสุดทางยุโรปได้แบนการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียทางเรือถึง 2 ใน 3 ที่เคยนำเข้า ซึ่งคิดเป็นปริมาณที่สูงถึง 1.5-2.0 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือ 1-2% ของปริมาณการผลิตน้ำมันทั่วโลก และภายในสิ้นปี 65 จะหยุดการนำเข้าให้ได้ 90% และซัปพลายจากกลุ่มโอเปกค่อนข้างจำกัด การผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปกในเดือน เม.ย. 65 อยู่ที่ราว 28 ล้านบาร์เรลต่อวัน เกินกว่าที่โอเปกตกลงไว้ โดยมี Compliance อยู่ที่ 113% แต่เป็นอัตราของ Compliance Rate ที่ลดลง ซึ่งบ่งบอกว่ากลุ่มโอเปก เริ่มประสบปัญหาในการเพิ่มกำลังการผลิตแล้ว เมื่อลงลึกไปดูถึง Production และ Capacity ของประเทศหลักๆ ในกลุ่มโอเปก คือ ซาอุฯ, UAE และคูเวต พบว่า Spare capacity นั้นเหลืออยู่ค่อนข้างน้อย เพียง 5 แสนล้านบาร์เรลต่อวัน ถึง 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน

ขณะที่ดีมานด์เพิ่มขึ้น โดยในสหรัฐฯ เริ่มเข้าสู่ช่วง Driving Season ตั้งแต่ มิ.ย. จนถึงต้น ก.ย. เพราะเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน อากาศอบอุ่น และเดือน ก.ค. ปิดภาคเรียนฤดูร้อน ส่งผลให้มีการท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยจะเป็นช่วงที่มีความต้องการน้ำมันเบนซินซึ่งเป็นน้ำมันหลักในการเดินทางเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ Stock ทั้งเบนซินและดีเซลก็อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี

และทางการเซี่ยงไฮ้ได้กลับมาเปิดเมืองอีกครั้งเมื่อวันที่1 มิ.ย. ที่ผ่านมา หลังจากใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 มาเป็นเวลา 2 เดือน ซึ่งการเปิดเมืองเซี่ยงไฮ้จะทำให้ความต้องการน้ำมันในประเทศจีนเพิ่มขึ้น รายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) ระบุว่าดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือน พ.ค. อยู่ที่ 49.6 แม้เพิ่มขึ้นจากระดับ 47.4 ในเดือน เม.ย. แต่ดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตอยู่ในภาวะหดตัว ซึ่งมาจากผลกระทบมาตรการล็อกดาวน์ แต่แนวโน้มเดือน มิ.ย.น่าจะปรับเพิ่มขึ้นมาสูงกว่า 50 ได้หลังกลับมาเปิดเมืองอีกครั้ง

CGS-CIMB เชียร์กลุ่มถ่านหิน-ราคาพุ่ง

ด้าน บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี แนะซื้อเก็งกำไรระยะสั้น หุ้นกลุ่มถ่านหินอย่าง BANPU -LANNA และ AGE จากการที่ราคาถ่านหินพุ่งขึ้นแรง 8.23% หรือ 30.50 เหรียญสหรัฐ/ตัน ปิดที่ 401 เหรียญ/ตัน เข้าใกล้ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ที่ระดับ 440 เหรียญ/ตัน เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และเป็นการปรับขึ้นมากกว่า 249 เหรียญ/ตัน หรือเพิ่มขึ้น 164% นับจากต้นปีหลังเกิดสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่งผลให้ราคาถ่านหินพุ่งขึ้นตามราคาน้ำมัน

นอกจากนี้การที่ EU มีมติระงับการนำเข้าน้ำมัน 2 ใน 3 ส่วนจากรัสเซีย ยิ่งเป็นการหนุความต้องการใช้ถ่านหินมาเป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมันใน EU อีกด้วย ซึ่งราคาถ่านหินที่พุ่งสูงขึ้น จะช่วยหนุนรายได้และผลกำไรให้กับผู้ประกอบการเหมืองถ่านหินและผู้ค้าถ่านหิน ขณะที่ Bloomberg consensus ให้ราคาเป้าหมาย BANPU เฉลี่ยที่ 15.36 บาท ในขณะที่ IAA Consensus ให้ราคาเป้าหมาย LANNA เฉลี่ยที่ 26 บาท และ AGE เฉลี่ยที่ 4.22 บาท

ไอร่า-ฟินันเซียฯ ประเมินโรงกลั่นสดใส

บล.ไอร่า ออกบทวิเคราะห์ระบุว่า การที่สหภาพยุโรป (EU) มีมติระงับการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียในสัดส่วนกว่า 2 ใน 3 ในส่วนของการขนส่งทางทะเล จากความขัดแย้งในด้านภูมิรัฐศาสตร์ คาดจะหนุนทิศทางราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นได้ต่อจากความกังวลด้านอุปทานที่ลดลง รวมทั้งมองเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่มโรงกลั่น (TOP, SPRC, BCP และ ESSO) ตามความต้องการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปที่มากขึ้นของ EU เพื่อทดแทนการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย

ขณะที่ราคาน้ำมันดิบยังคงได้รับแรงหนุนจากคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในสหรัฐฯ ฟื้นตัวขึ้นจากการเข้าสู่ช่วงวันหยุด Memorial Day คาดจะหนุนทิศทางหุ้นในกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นได้ต่อ

บล.ฟินันเซีย ไซรัส มีมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มโรงกลั่น-ปั๊มน้ำมัน จาก Supply ที่ตึงตัว ขณะที่ความต้องการน้ำมันสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นตามการ Reopening หลัง โควิด-19 หนุนค่าการกลั่นปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง เทียบไตรมาสก่อน หุ้นโรงกลั่นที่มีสัดส่วนธุรกิจปิโตรเคมีต่ำจะได้ประโยชน์เต็มที่และไม่มีตัวถ่วง และบางบริษัทยังคงมี Hedging Loss ต่อเนื่อง โดยจากภาพทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้ชอบ BCP (ราคาเป้าหมาย 40 บาท) และ ESSO (ราคาเป้าหมาย 12.90 บาท) มากที่สุดและเป็น Top Pick ของกลุ่ม (Source: FSSIA)

บล.ฟิลลิป ให้เก็งกำไรหุ้นพลังงาน-โรงกลั่น

บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย)  มองว่าจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ขณะที่ปัจจัยภายในตลาดให้น้ำหนักกับปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่ตามมา หลังปล่อยลอยตัวราคาน้ำมันดีเซล อีกทั้งการประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่นเร็วขึ้น รวมถึงการเก็งกำไรหุ้นรายตัวที่มีผลประกอบการดีในช่วงโค้งสุดท้ายฤดูประกาศผลงบการเงิน และหุ้นในกลุ่มโรงกลั่นที่ได้ประโยชน์จากกรณีที่ซาอุฯ ประกาศปรับลดราคาขายน้ำมันให้เอเชีย ปัจจัยเหล่านี้จะเป็นตัวช่วยประคองการอ่อนตัวของตลาด จึงมองตลาดจะอิงทางแกว่งตัวออกด้านข้างไปก่อน

โดยสำหรับราคาน้ำมันดิบ WTI เดินหน้าอิงทางขึ้นต่อ จ่อทะลุ 111 เหรียญต่อบาร์เรล ท่ามกลางการจับตาพัฒนาการการคว่ำบาตรน้ำมันจากรัสเซียของ EU โดยมองเป้าราคาน้ำมันดิบหากปรับตัวขึ้นทะลุ 111 เหรียญต่อบาร์เรล จะมีแนวต้านถัดไปที่ 116 เหรียญต่อบาร์เรล ส่วนด้าน Saudi Aramco ประกาศปรับลดราคาขายน้ำมันให้ฝั่งเอเชียลงมาที่ 4.40 เหรียญต่อบาร์เรล เหนือราคา Benchmark ในเดือน มิ.ย. จากราคาที่ 9.35 เหรียญต่อบาร์เรล เหนือราคา Benchmark ในเดือน พ.ค. ดังนั้นมองการลงทุน เน้นเก็งกำไรหุ้นกลุ่มพลังงานและโรงกลั่น เช่น PTTEP, TOP, SPRC, BCP ซึ่งได้เปรียบจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังพุ่งต่อเนื่อง ขณะที่ด้านต้นทุนได้ปัจจัยบวกจากการที่ซาอุฯ ประกาศปรับลดราคาขายน้ำมันในกลุ่มเอเชีย

บล. หยวนต้าฯ เชื่อโรงกลั่นรับผลดี 3 เด้ง

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินกรณีที่ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) 27 ประเทศ มีมติร่วมกันยกเลิกนำเข้าน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมจากรัสเซีย โดยจะยกเลิกการนำเข้าน้ำมันที่ขนส่งมาทางทะเล ซึ่งมีสัดส่วน 90% จากรัสเซียคงเหลือเพียงการนำเข้าผ่านท่อส่งน้ำมัน เพียง 10%) นับเป็นปัจจัยที่ส่งผล “บวก” ต่อกลุ่ม ผู้ผลิตน้ำมันโดยตรงเนื่องจากอียูต้องสั่งซื้อน้ำมันดิบจากแหล่งอื่น ส่งผลให้ซัปพลายในตลาดโลกจะตึงตัวมากกว่าที่ผ่านมา เพราะนอกจากกำลังการผลิตน้ำมันดิบจากรัสเซียหายออกไปจากตลาดโลกแล้ว กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ยังคงทยอยเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพียง 432,000 บาร์เรลต่อวัน ช่วงเดือน ก.ค. เท่านั้น แม้ว่าทั่วโลกจะเรียกร้องให้เพิ่มกำลังการผลิตก็ตาม ดังนั้นหุ้นอย่าง PTTEP ที่เป็นต้นน้ำจะได้ประโยชน์สูงสุดจากราคาน้ำมันดิบ และก๊าซธรรมชาติที่เร่งตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ BANPU ก็จะได้รับประโยชน์ในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ

ทว่า โรงกลั่นจะได้รับอานิสงส์หลายต่อ เพราะผลิตภัณฑ์ “น้ำมันสำเร็จรูป” จากรัสเซียไม่สามารถส่งออกมาจำหน่ายในตลาดโลกได้ อีกทั้งเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนในประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม-กันยายน 2565 และตลอดวิกฤตโควิด-19 กว่า 2 ปีที่ผ่านมาส่งผลให้โรงกลั่นหลายแห่งหยุดดำเนินการ ทำให้กำลังการผลิต (Supply) ลดลง โดยค่าการกลั่นงวดไตรมาส 2 เร่งตัวขึ้นมาแตะ 19.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 146% เมื่อเทียบกับงวดไตรมาสแรกปี 65 และเพิ่มขึ้น 882% เทียบปีก่อนและคาดว่าจะทรงตัวไปถึงสิ้นปี 65 ซึ่งหลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น และฐานะกองทุนน้ำมันติดลบถึง 8.1 หมื่นล้านบาท สำหรับหุ้นที่ได้ประโยชน์จากภาวะที่ราคาน้ำมันปรับขึ้น คือ กลุ่มค้าปลีกน้ำมัน แนะนำ “Trading” หุ้น OR, BCP, PTG และกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมี อย่าง PTT, TOP

ทั้งนี้ นอกจากหุ้นที่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ประสานเสียงเชียร์และแนะนำให้เข้าซื้อเก็บเข้าพอร์ตข้างต้นคือ หุ้นที่รับผลดี  และเป็นหุ้นที่นักลงทุนให้ความสนใจเป็นทุนเดิม แต่ยังมีหุ้นอีกหลายตัวที่ได้รับผลดีทางอ้อม ซึ่งต้องดูจากธุรกิจและสายการผลิตของแต่ละบริษัทประกอบด้วย ขณะที่ มีหลายบริษัทที่ได้รับผลกระทบหนักด้านลบ นั่นก็เป็นไปตามภาวะ แนวโน้มและทิศทางของแต่ละธุรกิจ.




กำลังโหลดความคิดเห็น