ปตท.ฉวยจังหวะราคาถ่านหินดีดตัวสูง เร่งปิดดีลขายเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียให้แล้วเสร็จในช่วงครึ่งแรกปีนี้ แม้ว่าปี 2564 ธุรกิจถ่านหินจะมีผลดำเนินงานดีขึ้น มี EBITDA 7,158 ล้านบาท โตขึ้น 100%
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า ปตท.อยู่ระหว่างดำเนินการขายเหมืองถ่านหินในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งปัจจุบันราคาถ่านหินในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นเป็นจังหวะดีในการขายเหมืองถ่านหินที่อินโดนีเซียออกไป คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในครึ่งปี 2565
สอดรับกับวิสัยทัศน์ใหม่ Powering Life with Future and Beyond ที่จะมุ่งสู่ธุรกิจพลังงานอนาคตและเติบโตในธุรกิจใหม่ไปไกลกว่าธุรกิจพลังงาน โดยจะรุกธุรกิจพลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ยา เวชภัณฑ์และอาหาร
สำหรับเหมืองถ่านหินในอินโดนีเซียนั้น ปตท.ถือหุ้น 94.56% ในบริษัท Sakari Resources Limited (SAR) ซึ่งทำธุรกิจเหมืองถ่านหิน Sebuku และ Jembayan ในอินโดนีเซีย มีกำลังการผลิตราว 8-9 ล้านตันต่อปี ก่อนที่จะปรับลดการผลิตลงหลังราคาถ่านหินลดต่ำลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันราคาถ่านหินได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากหลังเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาถ่านหินดีดตัวไปถึง 400 เหรียญสหรัฐต่อตัน ล่าสุดดัชนีราคาถ่านหิน The Newcastle Export Index (NEX) อยู่ในระดับ 264 เหรียญสหรัฐต่อตัน ประเมินว่าในปี 2565 ราคาถ่านหินจะยังคงเฉลี่ยในระดับสูง
สำหรับผลประกอบการธุรกิจถ่านหินของปตท.ในปี 2564 ปรับตัวดีขึ้นมาก โดยมีรายได้จากการขายจํานวน 16,983 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,204 ล้านบาท หรือร้อยละ 57.6 เมื่อเทียบกับปี 2563 สาเหตุหลักมาจากราคาขายถ่านหินเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 29.2 เหรียญสหรัฐต่อตัน หรือร้อยละ 54.3 จาก 53.8 เหรียญสหรัฐต่อตันในปี 2563 มาอยู่ที่ 83.0 เหรียญสหรัฐต่อตันในปี 2564 ซึ่งเป็นไปตามราคาอ้างอิง Newcastle ที่เพิ่มขึ้นจากปัญหาขาดแคลนพลังงานในหลายประเทศ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ขณะที่ปริมาณขายถ่านหินในปี 2564 อยู่ที่ 6.1 ล้านตัน ลดลง 0.3 ล้านตัน หรือร้อยละ 4.7 จากปี 2563 ที่มีปริมาณขายถ่านหินอยู่ที่ 6.4 ล้านตัน เนื่องจากการหยุดดําเนินการของแหล่ง Sebuku ตั้งแต่ต้นปี 2564 แม้ว่าปริมาณการผลิตจากแหล่ง Jembayan จะเพิ่มขึ้นตามแผนธุรกิจ
ส่งผลปี 2564 ธุรกิจถ่านหินมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) มีจํานวน 7,158 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,982 ล้านบาท หรือมากกว่าร้อยละ 100.0 จากปี 2563 โดยหลักจากกําไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นตามราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น แม้ปริมาณขายจะลดลงและกําไรจากการดําเนินงานตามส่วนงานในปี 2564 มีจํานวน 5,404 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,101 ล้านบาท หรือมากกว่าร้อยละ 100.0 ตาม EBITDA ที่เพิ่มขึ้นในปี 2564 อีกทั้งในปี 2563 มีบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ถ่านหินจํานวน 8,773 ล้านบาท ในขณะที่ปี 2564 ไม่มีรายการดังกล่าว