"ซีแพนเนล" เผยทิศทางธุรกิจไตรมาส 1/65 เติบโตดี จ่อเซ็นสัญญาโครงการแนวราบแนวสูง มูลค่ารวม 52.77 ล้านบาท ดัน Backlog 1,256.62 ล้านบาท มองภาพรวมอสังหาฯ ฟื้น ไม่หวั่นต้นทุน เงินเฟ้อพุ่ง ไตรมาส 2/65 เตรียมลงเครื่องจักรใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพโรงงานเดิม เล็งขยายกำลังการผลิต 5-10%
นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) (CPANEL) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ด้วยระบบอัตโนมัติ (Fully Automated Precast) ที่ใช้สำหรับงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจไตรมาส 1/65 แนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง โดยบริษัทอยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญากับลูกค้าโครงการแนวราบแนวสูงเพิ่ม 3 ราย มูลค่ากว่า 52.77 ล้านบาท ซึ่งหากเซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้วจะส่งผลให้บริษัทมีงานในมือ (Backlog) 1,256.62 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังมีลูกค้าอีกหลายรายที่มีความสนใจใช้ Precast Concrete ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาอีกกว่า 7 ราย อีกทั้งบริษัทมีงานที่จะส่งมอบให้ลูกค้า 15 ราย เช่น โครงการ Noble Gable, Noble Curve, Grand Britania Bangna KM.35 ซึ่งบริษัทสามารถผลิตและส่งมอบงานให้ลูกค้าได้ทันได้ตามแผนที่วางไว้
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2565 คาดการณ์การเติบโตประมาณ 15-20% จากนโยบายภาครัฐการผ่อนคลายสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) โดยเฉพาะโครงการแนวราบ คาดว่าจะเติบโตมากขึ้น รองรับความต้องการลักษณะการทำงานแบบ Work From Home
“แม้ว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์จะมีสัญญาณที่ดีขึ้น แต่ยังมีปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง เช่น การระบาดของไวรัสโควิด-19 แรงกดดันเงินเฟ้อ ผลกระทบของสงคราม และแนวโน้มต้นทุนการผลิตปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ด้วยลักษณะธุรกิจของ CPANEL ที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิต สามารถลดความผิดพลาด ความสูญเสียในการผลิต และใช้แรงงานน้อย ประกอบกับบริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดี ส่งผลให้ได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิต และเงินเฟ้อในระดับต่ำ
อีกทั้งในมุมของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ยิ่งมีภาวะเงินเฟ้อเท่าไหร่ยิ่งจำเป็นต้องลดแรงงาน เนื่องจากหากก่อสร้างได้รวดเร็วจะทำให้ผลกระทบเรื่องเงินเฟ้อสั้นลง ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการหันมาเลือกใช้ Precast Concrete มากขึ้น” นายชาคริต กล่าว
ขณะที่ความคืบหน้าเกี่ยวกับการติดตั้งเครื่องจักรใหม่เพื่อเพิ่มศักยภาพโรงงานเดิม คาดว่าจะติดตั้งในช่วงไตรมาส 2/65 โดย CPANEL ถือเป็นเป็นรายแรกที่นำเทคโนโลยีนี้เข้ามาพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพระบบการผลิต สามารถผลิต Precast Concrete ได้รวดเร็วมากขึ้นและสามารถขยายกำลังการผลิตเพิ่ม 5-10%
ด้านการลงทุนเครื่องจักรผลิต Precast Concrete เพื่อก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 2 หลังจากที่เดินทางไปดูเครื่องจักรที่ประเทศเยอรมนีแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมสรุปการสั่งซื้อ และคาดว่าจะสั่งเข้ามาติดตั้งในช่วงไตรมาส 2/66 หลังจากที่เริ่มก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 2 ในช่วงไตรมาส 2/65 ตามแผนที่วางไว้
ส่วนผลประกอบการปี 2564 บริษัทมีรายได้รวม 312.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 221.15 ล้านบาท จำนวน 91.29 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 41.27% และมีกำไรสุทธิ 31.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 13.12 ล้านบาท จำนวน 18.68 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 142.38%
โดยรายได้ของบริษัทเติบโตถึง 40% มากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ไม่ต่ำกว่า 35% เนื่องจากในปี 64 ลูกค้ามีคำสั่งซื้อกลับมาเป็นปกติหลังจากที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ในปี 63 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงบริษัทมีการบริหารจัดการควบคุมต้นทุนการผลิตที่ดีขึ้น ส่งผลให้กำไรสุทธิปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน