“จุรินทร์” เผย 3 ฝ่าย รัฐ เกษตรกร ผู้ประกอบการ นัดถก 23 มี.ค.หาทางออกราคาอาหารสัตว์พุ่ง หลังต้นทุนวัตถุดิบขยับแรง ทั้งข้าวโพด ข้าวสาลี เตรียมเคลียร์ปมมาตรการ 3 ต่อ 1 ผ่อนยังไง ก่อนชงคณะกรรมการที่ดูแลไฟเขียว และนำเข้า ครม. แย้มมาตรการ 3 ต่อ 1 ปรับแน่ แต่สัดส่วนเท่าใดต้องคุยก่อน พร้อมกำหนดปริมาณนำเข้า
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วันที่ 23 มี.ค. 2565 จะมีการประชุมร่วมเพื่อพิจารณาเรื่องวัตถุดิบอาหารสัตว์ ระหว่างส่วนราชการกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง หน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และเกษตรกร ซึ่งเกษตรกรมี 2 ส่วน คือ 1. ชาวไร่ข้าวโพด ชาวไร่มันสำปะหลัง 2. ปศุสัตว์ ที่มีผลกระทบเรื่องต้นทุนอาหารสัตว์สูง ทำให้ราคาเนื้อสัตว์มีต้นทุนสูงขึ้น และผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งจะต้องหารือให้มีข้อยุติร่วมกัน และให้ได้ทางออกในเรื่องนี้
ปัจจุบันต้นทุนอาหารสัตว์ขึ้นอยู่กับ 2 ส่วนสำคัญ ได้แก่ 1. ราคาข้าวโพดที่สูงขึ้นเป็นกิโลกรัม (กก.) ละ 10 กว่าบาท จาก กก.ละ 6-8 บาท และที่สำคัญ ข้าวสาลีในตลาดโลกราคาสูงขึ้นมาก เพราะผู้ผลิตข้าวสาลีรายใหญ่ของโลก คือ ยูเครน กระทบมาก ทำให้ต้นทุนนำเข้าข้าวสาลีสูงขึ้นมาก ต้องมาดูว่ามาตรการเดิมที่กำหนดช่วยชาวไร่ข้าวโพด ที่การนำเข้าข้าวสาลี 1 ส่วน ต้องซื้อข้าวโพดในประเทศ 3 ส่วน หรือมาตรการ 3 ต่อ 1 ในสถานการณ์นี้ ยังมีความเหมาะสมหรือไม่
“เบื้องต้นมีความเห็นควรผ่อนมาตรการนี้เป็นการชั่วคราว เพื่อไม่ให้ต้นทุนอาหารสัตว์สูงขึ้นจนเกินไป และกระทบราคาเนื้อสัตว์ต่างๆ แต่ยังมีความเห็นไม่สอดคล้อง จึงต้องคุยกันให้จบ เพื่อไม่แก้ปัญหาหนึ่ง แล้วไปสร้างอีกปัญหาหนึ่ง วันที่ 23 มี.ค. 2565 จะมีการคุยกันอีกครั้ง ถ้ามีความจำเป็นต้องเดินหน้ากระบวนการอย่างไร เช่น นำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) รวมถึงเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็จะดำเนินการต่อไปโดยเร็ว” นายจุรินทร์กล่าว
นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ขณะนี้มีมาตรการที่เสนอมาโดยผู้ผลิตอาหารสัตว์ 3 มาตรการ คือ การปรับลดสัดส่วนของมาตรการ 3 ต่อ 1 การเปิดให้นำเข้าข้าวโพดภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก (WTO) และเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) โดยยกเลิกโควตาภาษีและค่าธรรมเนียม และการยกเลิกภาษีนำเข้ากากถั่วเหลือง 2% ซึ่งจะมีการพิจารณารายละเอียดมาตรการต่างๆ อีกครั้ง ก่อนที่จะนำเสนอให้คณะกรรมการที่ดูแลแต่ละชุดพิจารณา หากเป็นเรื่องมาตรการ 3 ต่อ 1 ก็ต้องเข้า นบขพ. แต่ถ้าเป็นการลดภาษีนำเข้า ก็ต้องเข้าคณะกรรมการนโยบายอาหาร โดยมีหลักการว่าทุกมาตรการจะเป็นมาตรการระยะสั้น และไม่ส่งผลกระทบในระยะยาว
ทั้งนี้ มาตรการที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด คือ การปรับลดสัดส่วนของมาตรการ 3 ต่อ 1 ซึ่งจะมีการพิจารณาว่าจะปรับลดสัดส่วนลงเท่าใด อาจจะเป็น 2 ต่อ 1 หรือ 1 ต่อ 1 หรือยกเว้นชั่วคราว และจะต้องมีการกำหนดปริมาณการนำเข้าว่าไม่ควรเกินเท่าใด โดยพิจารณาจากปริมาณความต้องการใช้ของทั้งปี และผลผลิตที่มีอยู่ในประเทศ ส่วนการนำเข้าภายใต้ WTO และ AFTA ปัจจุบันองค์การคลังสินค้า (อคส.) นำเข้าได้ทั้งปี ผู้นำเข้าทั่วไป นำเข้าได้ช่วง ก.พ.-ส.ค. ก็ต้องดูว่าจะปรับเงื่อนไขหรือไม่ และการลดภาษีกากถั่วเหลือง ต้องดูผลระยะยาวว่าหากลดภาษีแล้วจะส่งผลกระทบต่อเนื่องทำให้เกษตรกรลดพื้นที่เพาะปลูกลงหรือไม่ เพราะปัจจุบันไทยมีการปลูกถั่วเหลืองน้อยกว่าความต้องการอยู่แล้ว และกระทบต่อรายการของกระทรวงการคลังหรือไม่