กรมการค้าภายในไฟเขียว “ปุ๋ย” ปรับราคา แต่มีเงื่อนไขไม่ให้ขึ้นเท่ากันหมดทุกราย ทุกชนิด เหตุต้นทุนไม่เท่ากัน รับต้นทุนพุ่งจริง เผยจากปี 64 ขยับเกือบ 50% และจากปี 63 เกือบ 100% หากไม่ให้ขึ้น หวั่นของขาด เกษตรกรเดือดร้อน ส่วนวัตถุดิบอาหารสัตว์ เร่งหารือหาข้อสรุปลดสัดส่วน 1 ต่อ 3 ให้ได้ข้อยุติ ทั้งการลดสัดส่วน ระยะเวลาที่ลด ก่อนเสนอ นบขพ. พิจารณา
นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 มี.ค.2565 ที่ผ่านมา กรมฯ ได้หารือกับผู้ประกอบการปุ๋ยเคมีของไทย เพื่อพิจารณาสถานการณ์การผลิต การจำหน่าย และการปรับขึ้นราคาขายปุ๋ยเคมีในประเทศตามที่ผู้ค้าร้องขอ โดยกรมฯ ได้ยืนยันว่า หลักเกณฑ์ในการพิจารณาอนุญาตให้ปรับขึ้นราคาขายปุ๋ยเคมี จะพิจารณาให้เป็นราย ๆ ไป และพิจารณาแต่ละชนิด เพราะแต่ละราย แต่ละชนิดของปุ๋ย มีต้นทุนแตกต่างกัน ไม่ใช่อนุญาตให้ปรับขึ้นเท่ากันหมด หรือให้ปรับขึ้นได้ทุกราย ทุกชนิด
“การขึ้นราคาปุ๋ยเคมี ผู้ค้าเข้าใจสถานการณ์ดี เพราะการขึ้นราคาสูงเกินไป ทำให้ความต้องการซื้อลดลงทันที และกระทบกับตัวเอง ส่วนกรมฯ จะพิจารณาให้รอบด้าน และพิจารณาถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยจะต้องได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ทั้งผู้ผลิต ผู้ค้า เกษตรกรผู้ใช้ และผู้บริโภคปลายทาง แต่ถ้าไม่ขึ้นราคา ผู้ผลิต ผู้ค้า ก็อาจไม่นำเข้า และไม่ผลิต ซึ่งจะทำให้ปุ๋ยขาดแคลน และกระทบต่อเกษตรกรอีก โดยเชื่อว่าหากสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนจบลงเร็ว สถานการณ์ราคาน่าจะดีขึ้น”
ทั้งนี้ จากการหารือ พบว่า ต้นทุนการผลิตได้ปรับตัวสูงขึ้นมากถึง 36-49% เมื่อเทียบกับปี 2564 หรือเกือบ 100% เมื่อเทียบปี 2563 จากผลของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่สูงขึ้น และสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่ทำให้แหล่งผลิตปุ๋ยเคมีใหญ่ทั้ง 2 แหล่ง ได้รับผลกระทบจากสงคราม อีกทั้งไทยเป็นประเทศผู้นำเข้าปุ๋ยเคมีเกือบ 100% หรือปีละกว่า 5 ล้านตัน โดยมีแหล่งนำเข้าสำคัญ คือ ตะวันออกกลาง จีน รัสเซีย แคนาดา เป็นต้น
นายวัฒนศักย์กล่าวว่า สำหรับการประชุมร่วมระหว่างกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ และผู้เกี่ยวข้อง เรื่องต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ เมื่อวันที่ 15 มี.ค.2565 และมีมติให้ลดสัดส่วนการนำเข้าข้าวสาลีต่อการซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศ ที่กำหนด 1 ต่อ 3 เป็นการชั่วคราว เพื่อลดต้นทุนให้กับผู้ผลิตอาหารสัตว์ โดยทุกฝ่ายจะมีการหารือกันอีกครั้ง เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เช่น จะลดสัดส่วนลงเหลือเท่าไร ระยะเวลาในการปรับลดสัดส่วนจะถึงเมื่อไร เป็นต้น เพื่อไม่ให้กระทบกับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด หรือมันสำปะหลังในประเทศ และจะนำเสนนที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) พิจารณาต่อไป
“จะต้องเร่งหารือเพื่อให้ได้ข้อสรุปโดยเร็วที่สุด เพราะสถานการณ์ราคาปรับตัวสูงขึ้นมาก แต่ก็ต้องพิจารณาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้านด้วย รวมถึงกรณีที่ข้าวโพดหลังนาของไทย ที่กำลังจะออกในเร็ว ๆ นี้ อีกราว 7-8 แสนตัน ที่จะเข้ามาช่วยเติมวัตถุดิบอาหารสัตว์ให้มีมากขึ้น และไม่เกิดภาวะขาดแคลน”นายวัฒนศักย์กล่าว