xs
xsm
sm
md
lg

หยุดตรึงราคาสินค้า ... ปัจจัยฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สงครามยูเครนและสถานการณ์แวดล้อมหลายด้านกระทบให้ราคาสินค้าขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นแม้แต่ในกลุ่ม 18 สินค้าที่กระทรวงพาณิชย์ขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้ตรึงราคาเพื่อผู้บริโภค นั่นเป็นเพราะปัจจัยการผลิตต่างๆ ล้วนมีราคาสูงขึ้น อาทิ น้ำมันปาล์มที่ใช้ในการทอดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และ น้ำมันปาล์มที่บรรจุอยู่ในซองบะหมี่สำเร็จรูป มีราคาเพิ่มสูงขึ้น จนเป็นเหตุให้ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต้องขอปรับราคาขายส่ง ซองละ 25 สต. ซึ่งแม้จะไม่กระทบราคาขายปลีกในช่วงแรก แต่ก็คงขายในราคาเดิมได้แค่ช่วงเวลาหนึ่ง

ไม่ต่างกับผู้ผลิตอาหารสัตว์ ต้นทางการผลิตอาหารมนุษย์ ที่อาจต้องหยุดไลน์ผลิต เพราะไม่มีวัตถุดิบป้อนโรงงาน ทั้งปริมาณข้าวโพด ข้าวสาลี ที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ และมีระดับราคาที่สูงขึ้นแทบทั้งหมด แม้แต่บางวัตถุดิบที่ไม่มีสารอาหารเทียบเท่าข้าวโพดหรือข้าวสาลี เช่น ปลายข้าวและมันสำปะหลัง ก็ยังยกแผงขึ้นราคากันหมด ประเด็นของอาหารสัตว์นี้ เป็น “ต้นน้ำ” ของการผลิตอาหารมนุษย์ เมื่อต้นทุนการผลิตสูงขึ้นมหาศาล จากราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ขึ้นมากว่า 14% และข้าวสาลีพุ่งสูงถึง 43% ย่อมกระทบต่อต้นทุนผู้เลี้ยงสัตว์ในวงกว้าง แต่สิ่งที่ผิดปกติคือ ราคาขายอาหารสัตว์กลับถูกตรึง สวนทางต้นทุนที่พุ่งขึ้นทุกวัน เช่นเดียวกับเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ ที่ถูกตรึงราคาขาย ย้อนแย้งกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นไม่เว้นวัน

วิธีการ “ตรึงราคา” ที่กระทรวงพาณิชย์ทำอยู่ อาจดูดีในสายตาผู้บริโภคได้ระยะหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทางออกที่ดีในการนำมาแก้ปัญหา เพราะจะกลับกลายเป็นแรงกดดัน-บีบคั้นให้ผู้ประกอบการสินค้านั้นๆ อยู่ไม่ได้ ต้องทยอยลดกำลังการผลิต และจะวนเป็นปัญหาปริมาณสินค้ามีไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งในที่สุดจะส่งผลให้ผู้บริโภคต้องจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้านั้นๆ และอาจต้องจ่ายมากเกินคาดคิด เมื่อสินค้านั้นๆ เข้าสู่ภาวะขาดแคลน


แนวคิดนี้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ทราบดีและไม่เห็นด้วยกับการตรึงราคาสินค้า เช่น ดร.กิริฎา เภาพิจิตร ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ที่กล่าวผ่านสื่อมวลชนว่า สงครามรัสเซีย-ยูเครนทำให้ราคาน้ำมันมีความไม่แน่นอน อาจอยู่ในระดับสูงที่ 110-120 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และน่าจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 90-100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในช่วงครึ่งปีหลัง สถานการณ์นี้กำลังกระทบกำลังซื้อผู้บริโภค และกระทบต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการ

“หากรัฐใช้วิธีตรึงราคาสินค้า ด้วยเหตุผลว่าคำนึงถึงผู้บริโภค ก็ควรคำนึงถึงผู้ประกอบการ หรือ SMEs ด้วย เพราะจะทำให้ผู้ประกอบการขาดทุน กระทั่งล้มเลิกกิจการ ซึ่งเท่ากับเป็นการทำลายระบบการค้าในระยะยาว”

ดังนั้น รัฐควรทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้ต้นทุนการผลิตสินค้าลดลง
ซึ่งจะเกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การอำนวยความสะดวกในการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์จากต่างประเทศ เพราะราคาในประเทศสูง หรือมีปริมาณไม่เพียงพอ ก็จะเป็นการลดต้นทุนเนื้อสัตว์ให้ผู้บริโภคปลายทาง โดยที่ไม่ทำลาย SMEs และระบบการค้าไปพร้อมๆ กันด้วย

นั่นหมายความว่า รัฐไม่ต้องตรึงราคาสินค้า แต่สามารถใช้ “กลไกตลาด” เป็นปัจจัยหนึ่งในการฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ โดยไม่มีใครถูกกดดันจนต้องหยุดผลิตสินค้า ไม่มีใครถูกบีบคั้นจนต้องเลิกอาชีพ ราคาขายสินค้าจะขึ้นหรือลงก็ให้เป็นไปตามหลักอุปสงค์อุปทาน กำลังซื้อของผู้บริโภคจะเป็นตัวตัดสิน แล้วทุกอย่างจะเข้าสู่ภาวะสมดุลได้เองโดยที่ระบบการค้าก็ไม่เสียหาย

โดย เพ็ญภัสสร์ วิจารณ์ทัศน์
กำลังโหลดความคิดเห็น