เจรจาแก้สัญญาไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบินลงตัว รฟท.เร่งสรุป มี.ค.เสนอบอร์ดอีอีซีและ ครม. คาดออก NTP ตอกเข็ม พ.ค. 65 เปิดโมเดลเลื่อนจ่ายคืน "ซี.พี." เป็นเดือนที่ 21 แลกสร้างทับซ้อน "ไทย-จีน" รัฐไม่ควักเพิ่มแถมประหยัดรวมกว่า 2.7 หมื่นล้าน
นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า รฟท.วางแผนงานว่า การเจรจากับบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด ในฐานะคู่สัญญาผู้รับสัมปทานโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) เพื่อแก้ไขสัญญาได้ข้อยุติในเดือนมีนาคมนี้ โดยจากที่รฟท.ได้ทำบันทึกข้อตกลง (MOU) กับบริษัท เอเชีย เอรา วัน จำกัด กรอบเวลา 3 เดือนนับจากวันที่ 24 ตุลาคม 2564 และมีการขยายออกไปอีก 3 เดือน หรือถึงวันที่ 24 เมษายน 2565 จึงคาดว่าจะเสนอคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาการแก้ไขสัญญาได้ตามกำหนด
ซึ่งในฐานะคู่สัญญา เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นทั้งสองฝ่ายต้องร่วมกันแก้ปัญหา เพื่อให้โครงการไปต่อได้และประชาชนได้ประโยชน์ ซึ่งปัญหาของรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์เกิดจากการได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่ทำให้ผู้โดยสารลดลง และเอกชนไม่สามารถชำระค่าสิทธิร่วมลงทุนจำนวน 10,671.090 ล้านบาท ตามสัญญาร่วมลงทุนฯ ในวันที่ 24 ต.ค. 2564 ได้
ซึ่งเอกชนได้ชำระตาม MOU มาแล้ว 10% โดยเจรจาว่า หากโควิดสิ้นสุดจะกลับสู่การชำระตามสัญญาแต่จะต้องหาคำนิยาม “โควิดสิ้นสุด” ที่ตรงกัน เช่น ประกาศ ศบค. เป็นต้น ทั้งนี้ เอกชนเสนอขอเวลาในการฟื้นผู้โดยสารระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาระยะเวลาที่เหมาะสม ที่ รฟท.ไม่เสียหายหรือเสียประโยชน์ใดๆ
ขณะที่ รฟท.มีปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไข คือ การก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน สัญญา 4-1 ช่วงบางซื่อ-ดอนเมือง ซึ่งมีพื้นที่ทับซ้อนกับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โดยให้ทาง บ.เอเชียเอราวันฯ เป็นผู้ก่อสร้างส่วนของโครงสร้างร่วม ออกแบบรองรับมาตรฐานรถไฟไทย-จีน ความเร็ว 250 กม./ชม. โดยมีค่าก่อสร้างอยู่ที่ 9,207 ล้านบาท ซึ่งรัฐไม่ต้องจ่ายค่าก่อสร้างเพิ่มนี้ เนื่องจากในการเจรจาแก้ไขสัญญารถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินจะดำเนินการให้ โดยเอเชียเอราวัณฯ ขอปรับเงื่อนไขสัมปทาน โดยให้รฟท.เริ่มชำระคืนค่าก่อสร้างเร็วขึ้นจากที่กำหนดไว้เดิม ในปีที่ 6 (นับจากเข้าพื้นที่ก่อสร้าง) และลดระยะเวลาลงจาก 10 ปี
ที่ปรึกษาทางการเงินอีอีซีได้ศึกษาวิเคราะห์ และได้หารือกับสำนักงบประมาณ กรณีที่รัฐต้องจ่ายคืนค่าก่อสร้างเร็วขึ้น เพื่อพิจารณาทางเลือกที่ดีที่สุดกับรัฐและเป็นธรรมกับเอกชน ซึ่งนอกจากจะประหยัดค่าดอกเบี้ยแลัว รัฐยังไม่ต้องจ่ายค่าก่อสร้างโครงสร้างร่วม สามารถเร่งรัดรถไฟไทย-จีน ให้เปิดได้ตามเป้าหมาย ปี 2570-2571
นายนิรุฒกล่าวว่า รฟท.มีความพร้อมในการส่งมอบพื้นที่ และสามารถออก NTP ให้เริ่มก่อสร้างได้เลย ขณะนี้เหลือประมาณ 1% เท่านั้น ส่วนพื้นที่พัฒนาเชิงพาณิชย์ มักกะสัน ที่พบว่ามีเรื่องบึงเสือดำ และลำรา
งสาธารณะ ในแผนที่แต่ในพื้นที่ปัจจุบันไม่มีอยู่จริง แล้ว รฟท.จะเร่งแก้ไขเพื่อออก NTP การพัฒนาพื้นที่มักกะสันให้เอกชนต่อไป
@เจรจายุติ รัฐเลื่อนจ่ายค่าก่อสร้างเดือนที่ 21 รฟท.คาด พ.ค.ออก NTP เริ่มตอกเข็มช่วงทับซ้อน
แหล่งข่าวจาก รฟท.เปิดเผยกับ "ผู้จัดการรายวัน 360 องศา" ว่า คณะกรรมการ 3 ฝ่าย ได้แก่ รฟท. สกพอ. และ บ.เอเชียเอราวันฯ ได้เจรจากันต่อเนื่อง โดยล่าสุดมีการประชุมติดต่อกัน 4 วัน คือวันที่ 7-10 มี.ค. 2565 จนได้ข้อยุติแล้ว โดย รฟท.จะทำหนังสือยืนยันไปถึง บ.เอเชียเอราวัณฯ จากนั้นจะเสนอบอร์ด รฟท. คณะกรรมการบริหารพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กบอ.) บอร์ดอีอีซี และ ครม.ตามขั้นตอน เพื่อแก้ไขสัญญาสัมปทานต่อไป
โดยกรณีการชำระคืนค่าก่อสร้างเร็วขึ้น จากที่สัญญากำหนดปีที่ 6 (นับจากเข้าพื้นที่ก่อสร้าง) ทางเอกชนได้เสนอให้รัฐจ่ายในเดือนที่ 18 ส่วน รฟท.อีอีซีและที่ปรึกษาทางการเงิน คำนวณตัวเลขแล้วเห็นว่าควรปรับเป็นเดือนที่ 25 หรือเดือนแรกของปีที่ 3 จะมีความเหมาะสมกว่า ในการเจรจาล่าสุดได้สรุปว่าจะเริ่มจ่ายคืนค่าก่อสร้างในเดือนที่ 21 ซึ่งทางสำนักงบฯ กระทรวงการคลังรับทราบแล้ว และได้รายงานต่อ กบอ.เบื้องต้นแล้ว
ทั้งนี้ วางไทม์ไลน์ว่าจะเสนอ ครม.เห็นชอบแก้ไขสัญญาภายในเดือน เม.ย. 2565 และ รฟท.จะออกหนังสือให้เอกชนเริ่มงาน (NTP : Notice to Proceed) ได้ในเดือน พ.ค. 2565 เมื่อนับ 21 เดือน เท่ากับรัฐจะเริ่มจ่ายเงินงวดแรกในเดือน ก.พ. 2567 ขณะที่ปรับระยะเวลาชำระจาก 10 ปี เหลือ 7 ปีด้วย ซึ่งส่งผลให้รัฐประหยัดค่าก่อสร้างรถไฟไทย-จีน ช่วงทับซ้อน 9,207 ล้านบาท และค่าดอกเบี้ยเงินในอนาคต ที่นำมาจ่ายก่อน และอัตราคิดลด (Discount Rate) ภาพรวมได้ประมาณ 27,000 ล้านบาท
ในด้านของเอกชน อาจจะมองว่าได้เงินจากรัฐเร็วขึ้น จะได้ประโยชน์มากเกินไปหรือไม่ ซึ่งมีการคำนวณแล้วพบว่าเอกชนมีส่วนต่างทางการเงินจากกรณีนี้ประมาณ 2 หมื่นกว่าล้านบาท ใกล้เคียงกับที่รัฐประหยัด แต่รัฐจะได้ประโยชน์ 2 เรื่องที่จะเกิดขึ้นเลย คือ ไม่ต้องตั้งงบก่อสร้างรถไฟไทย-จีน ช่วงทับซ้อน และยังกำหนดให้ เอเชียเอราวัณฯ ตอกเข็มส่วนทับซ้อนเป็นลำดับแรก หรือในเดือน พ.ค. 2565 และให้แล้วเสร็จใน 3 ปี
สำหรับการชำระค่าให้สิทธิร่วมลงทุนรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ จำนวน 10,671 ล้านบาท ซึ่งเอกชนขอแบ่งชำระ 7 ปี โดยงวดที่ 1-6 ชำระงวดละ 10% งวดที่ 7 จะชำระส่วนที่เหลือพร้อมดอกเบี้ย เรื่องนี้เกิดจากผลกระทบโควิด อ้างอิงจากคำสั่งนายกรัฐมนตรี วันที่ 26 มี.ค. 2563 ประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548 ขึ้นมาคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ดังนั้นหากรัฐมีประกาศว่าโควิดสิ้นสุดก่อน 7 ปี จะมีหลักการพิจารณาที่ ปริมาณผู้โดยสารเปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลังมีประกาศ และผู้โดยสาร กรณีสถานการณ์ปกติที่มีการคาดการณ์จะเติบโตประมาณ 9% ต่อปีมาคำนวณการเยียวยา
หลักการถือว่าจบแล้ว หาก กพอ.เห็นชอบก็แก้ไขสัญญาได้ทันที แต่หาก กพอ.มีความเห็นเป็นอย่างอื่น รฟท.จะยึดตาม กพอ. โดยจะไม่มีการเจรจากับเอกชนแล้ว เพราะที่ผ่านมาหากเรื่องที่เอกชนเสนออธิบายทางการเงินได้ รัฐไม่เสียหาย รัฐรับฟัง และหากเอกชนไม่รับตามความเห็น กพอ.หรือใดๆ รฟท.พร้อมเดินรถแอร์พอร์ตลิงก์เอง