xs
xsm
sm
md
lg

“พาณิชย์” ชี้ช่องส่งออก “สินค้าวัตถุดิบอาหาร” เจาะตลาดอินเดีย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ชี้ช่องส่งออก “สินค้าวัตถุดิบอาหาร” เจาะตลาดอินเดีย หลังรัฐบาลมีแผนปรับลดภาษีนำเข้าเพื่อสู้ของแพง เปิดโพยสินค้าที่มีโอกาส น้ำมันปาล์มดิบ-ถั่วพิสตาชิโอ-อินทผลัม-ส้มและมะนาว-เม็ดมะม่วงหิมพานต์-บิสกิตและเวเฟอร์ รวมถึงกาแฟ

นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ตามนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ได้สั่งการให้กรมฯ ติดตามโอกาสทางการค้าของไทยในประเทศต่างๆ และกรมฯ ได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ล่าสุดได้รับรายงานจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย ถึงโอกาสในการส่งออกสินค้ากลุ่มวัตถุดิบอาหารเข้าสู่ตลาดอินเดีย หลังจากที่ปัจจุบันอินเดียเผชิญกับสถานการณ์ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้น ตามการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกระทรวงสถิติของอินเดียระบุว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของอินเดียในเดือน ม.ค. 2565 เพิ่มขึ้น 6.01% เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า และสูงกว่า CPI ในเดือน ธ.ค. 2564 ซึ่งอยู่ที่ 5.66% และมีข้อมูลจากผู้ผลิตรายใหญ่ในอินเดีย เช่น Nestlé India, ITC, HUL, Dabur and Britannia พบว่าสินค้าอุปโภคบริโภคมีราคาเพิ่มขึ้น 4-20% เช่น ชา กาแฟ บิสกิต ช็อกโกแลต บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เครื่องสำอาง และของใช้ในบ้าน ขณะที่สินค้าวัตถุดิบก็มีราคาเพิ่มขึ้นด้วย โดยดัชนีราคาค้าส่ง (WPI) ในเดือน ม.ค. 2565 มีระดับสูงถึง 12.96% เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า

นายภูสิตกล่าวว่า ทูตพาณิชย์มุมไบยังได้รายงานอีกว่า ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่สูงขึ้นในบางรายการสะท้อนถึงโอกาสของสินค้าไทยที่อาจส่งออกไปอินเดียได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าที่อินเดียมีแผนจะลดภาษีนำเข้าตั้งแต่เดือน พ.ค. 2565 เป็นต้นไป และเป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารในอินเดีย เช่น น้ำมันปาล์มดิบที่ลดจาก 7.5% เหลือ 5% ถั่วพิสตาชิโอลดจาก 30% เหลือ 10% อินทผลัมจาก 30% เหลือ 20% ส้มและมะนาว จาก 40% เหลือ 30% เม็ดมะม่วงหิมพานต์ จาก 30% เหลือ 2.5% และบิสกิตและเวเฟอร์ จาก 45% เหลือ 30% นอกจากนี้ ราคาของกาแฟที่แพงขึ้น อาจเป็นโอกาสของไทยในการส่งออกเพื่อทำตลาดระดับบนในช่วงนี้ด้วย

นอกจากนี้ ในการทำตลาดในอินเดีย ผู้ผลิตและผู้ส่งออกสามารถสำรวจราคาของคู่แข่งในตลาดอินเดียผ่านแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ได้ เช่น amazon.in โดยดูจากราคาสูงสุดสำหรับการขายปลีก (MRP) ที่ระบุไว้ที่ฉลาก ซึ่งเป็นราคาที่ครอบคลุมถึงค่าบรรจุภัณฑ์และค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมตลาด ส่วนต่างกำไรของผู้ผลิต (ประมาณ 20%) ค่าขนส่งและจัดเก็บ (ประมาณ 6%) ส่วนต่างกำไรของตัวแทนจำหน่าย/กระจายสินค้า (Stockist Margin ประมาณ 10%) รวมถึงส่วนต่างกำไรที่ร้านค้าส่งและค้าปลีก (ประมาณ 20%) เพื่อประเมินในเบื้องต้นว่าราคาของสินค้าไทยเมื่อรวมค่าขนส่ง ภาษีนำเข้า และภาษี GST แล้วจะสามารถแข่งขันกับรายอื่นได้หรือไม่ เนื่องจากคนอินเดียส่วนใหญ่มีความอ่อนไหวในราคา รวมทั้งนำไปวางแผนปรับต้นทุนสินค้าเพื่อเข้าสู่ตลาดอินเดีย


กำลังโหลดความคิดเห็น