xs
xsm
sm
md
lg

เปิดโพล “ส.อ.ท.” มองต้นทุนผลิตจ่อพุ่งอีก 10-20% อั้นไม่ขึ้นราคาสินค้าได้แค่ 3-4 เดือน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เปิดโพล ส.อ.ท.ตอกย้ำส่วนใหญ่ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นทั้งจากราคาน้ำมัน การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และค่าระวางเรือที่อยู่ในระดับสูง โดยคาดการณ์ว่าอีก 3-6 เดือนข้างหน้าต้นทุนจะขยับเพิ่มอีก 10-20% ส่งสัญญาณอั้นไม่ขยับราคาได้แค่ 3-4 เดือนแต่บางรายการต้องขยับทันที แนะรัฐดูแลค่าพลังงาน ทั้งไฟฟ้า ประปา ขยายเวลาชำระภาษีเงินได้แก้ขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์

นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 12 ในเดือนพฤศจิกายน 2564 ภายใต้หัวข้อ “สินค้าแพง ต้นทุนพุ่ง กระทบเศรษฐกิจไทยแค่ไหน?” โดยสำรวจจากผู้บริหาร (CEO Survey) 160 ท่านจาก 8 คำถาม พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท.มองว่าปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนการผลิตปรับตัวสูงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อราคาสินค้านั้น มาจากราคาน้ำมันและพลังงานโลกปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และค่าระวางเรือที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งผลกระทบดังกล่าวทำให้รายได้ของผู้ประกอบการลดลง 10-20% และคาดการณ์ว่าแนวโน้มต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมใน 3-6 เดือนข้างหน้าจะยังคงปรับเพิ่มขึ้นอีก 10-20% ดังนั้นจึงเสนอขอให้ภาครัฐช่วยเหลือในการพยุงราคาพลังงาน

“ผลสำรวจต้องการให้รัฐตรึงราคาค่าไฟฟ้า (FT) และลดค่าสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า, น้ำประปา) เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจทั้งในส่วนของผู้ประกอบการและประชาชน พร้อมทั้งแนะให้ผู้ประกอบการมีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม” นายวิรัตน์กล่าว

สำหรับรายละเอียดคำถาม ได้แก่ ปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนการผลิตปรับตัวสูงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าอันดับที่ 1 : ราคาน้ำมันและพลังงานโลกปรับตัวสูงขึ้น 87.5% อันดับที่ 2 : ปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้น61.9%อันดับที่ 3 : ความผันผวนของค่าเงินบาท และนโยบายด้านการเงินการคลัง 53.1% อันดับที่ 4 : การขาดแคลนวัตถุดิบจากผลกระทบของ Supply Chain Disruption45.0%

จากราคาวัตถุดิบและพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ธุรกิจมีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ อันดับที่ 1 : 10-20% อันดับที่ 2 : 30-50% อันดับที่ 3 : ต่ำกว่า 10% จากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากข้อ 2 ส่งผลต่อผลประกอบการอย่างไร อันดับที่ 1 : รายได้ลดลง 10-20% อันดับที่ 2 : รายได้ลดลงน้อยกว่า 10% อันดับที่ 3 : รายได้ลดลง 30-50% เป็นต้น

คำถาม ภาครัฐควรมีมาตรการช่วยเหลือ และบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างไร
อันดับที่ 1 : พยุงราคาพลังงาน, ตรึงราคาค่าไฟฟ้า (FT) และลดค่าสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า, น้ำประปา)
อันดับที่ 2 : มาตรการทางภาษี เช่น ลดหย่อนภาษี, งดการหักภาษี ณ ที่จ่าย ขยายระยะผ่อนชำระภาษีเงินได้, เร่งคืนภาษีอันดับที่ 3 : ลดค่าธรรมเนียม/ขั้นตอนในการส่งออกสินค้า และเร่งแก้ไขปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์


ภาคอุตสาหกรรมควรปรับตัวรับมือกับภาวะต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างไร อันดับที่ 1 : นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต อันดับที่ 2 : การประหยัดพลังงานและการใช้พลังงานหมุนเวียนในการผลิต อันดับที่ 3 : นำระบบบริหารจัดการมาช่วยในการลดต้นทุนการผลิต อันดับที่ 4 : ปรับแผนการผลิตเพื่อลดต้นทุน

จากภาวะสินค้าแพง มาตรการใดจะช่วยบรรเทาผลกระทบต่อผู้บริโภค อันดับที่ 1 : ลดค่าสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า, น้ำประปา) และตรึงราคาพลังงาน อันดับที่ 2 : ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และขยายเวลายื่นภาษี อันดับที่ 3 : สนับสนุนเงินช่วยเหลือ ลดค่าครองชีพ เช่น โครงการคนละครึ่ง การจำหน่ายสินค้าธงฟ้า

ภาคอุตสาหกรรมสามารถแบกรับภาระต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยไม่กระทบราคาสินค้าได้นานเท่าไร
อันดับที่ 1 : 3-4 เดือน อันดับที่ 2 : 1-2 เดือน อันดับที่ 3 : จำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้าทันที อันดับที่ 4 : น้อยกว่า 1 เดือน

คาดการณ์แนวโน้มต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมใน 3-6 เดือนข้างหน้า เมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบัน
อันดับที่ 1 : ต้นทุนเพิ่มขึ้น 10-20% อันดับที่ 2 : ต้นทุนเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% อันดับที่ 3 : ต้นทุนยังคงทรงตัว อันดับที่ 4 : ต้นทุนลดลง 10-20%
กำลังโหลดความคิดเห็น