บีซีพีจีแจงกำไรสุทธิไตรมาส 3/64 โตขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 684 ล้านบาท มีรายได้รวมกว่า 1,300 ล้านบาท โดยธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังน้ำ และพลังงานลมอยู่ในช่วงไฮซีซัน “บัณฑิต” มั่นใจภาพรวมปี 2564 สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ผลักดันให้รายได้-กำไรเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน เผยปีหน้าทยอยรับรู้กำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มกว่า 49 เมกะวัตต์ ส่วนใหญ่มาจากโรงไฟฟ้าที่ญี่ปุ่น
นายบัณฑิต สะเพียรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) (BCPG) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/64 บริษัทมีกำไรสุทธิ 684.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 673.08 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานที่ 1,302 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2/64 ที่มีรายได้รวม 1,088 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,238 ล้านบาท มีกำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 709 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาสที่ 3/2563 และจากไตรมาสที่ 2/2564 ร้อยละ 10.3 และร้อยละ 40.7 ตามลำดับ
ขณะที่ผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนของปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,773.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,601.55 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานที่ 3,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 343 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 3,094 ล้านบาท มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติที่ 1,702 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 278 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 19.5 เมื่อเทียบกับการดำเนินงานในงวด 9 เดือนปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติที่ 1,424 ล้านบาท
“ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ของกลุ่มบริษัทฯ เติบโตอย่างแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา และช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการเข้าสู่ High Season ของฤดูกาลน้ำ ส่งผลให้โรงไฟฟ้าพลังน้ำ Nam San 3A และ Nam San 3B ใน สปป.ลาว ผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้นกว่าช่วงปกติ อีกทั้งในช่วงดังกล่าว ทั้งในประเทศไทย และฟิลิปปินส์ เริ่มเข้าสู่ฤดูมรสุม ทำให้โรงไฟฟ้าพลังงานลมมีผลการดำเนินงานเติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อน นอกจากนี้ ยังรวมถึงการได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพที่อินโดนีเซียเพิ่มขึ้น จากอัตราค่าไฟที่สูงขึ้น และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลง” นายบัณฑิตกล่าว
ในภาพรวมของปี 2564 บริษัทฯ ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และสามารถดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชิบะ ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 20 เมกะวัตต์ (MW) และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กำลังการผลิต 7.7 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ตามแผนเรียบร้อยแล้ว โดยจะเริ่มรับรู้รายได้ทันทีในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 และเต็มปีในปีหน้า
“ในปี 2565 บริษัทฯ มีโครงการที่จะทยอยเปิดดำเนินการ รวมกำลังการผลิตอีกกว่า 49 เมกะวัตต์ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์โคมากาเนะ และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยาบูกิ ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 25 เมกะวัตต์ และ 20 เมกะวัตต์ ตามลำดับ โดยจะเปิดดำเนินการในช่วงครึ่งปีแรก และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็จะเปิดดำเนินการได้เต็มโครงการที่กำลังการผลิตรวม 12 เมกะวัตต์ภายในสิ้นปี” นายบัณฑิตกล่าว