"เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น" พร้อมกดปุ่ม COD โครงการวินด์ฟาร์มในประเทศเวียดนาม ขนาดกำลังผลิต 48 เมกะวัตต์ แล้ว เตรียมแผนพัฒนาโครงการ 2 ขนาด 48 เมกะวัตต์ต่อทันที ฟากซีอีโอเผยเดินหน้ารับรู้รายได้ หนุนผลงานปี 64 โตทะลุเป้า เผยอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ขยายโครงวินด์ฟาร์มเพิ่มเพื่อต่อยอดธุรกิจด้านพลังงานลม พร้อมรุกขยายลงทุนโซลาร์ รูฟท็อปในอินโดนีเซีย ดันกำลังผลิตแตะ 400 เมกะวัตต์ในปี 2567
นายวรุตม์ ธรรมาวรานุคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสริมสร้าง พาวเวอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SSP เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 บริษัทฯ ได้เริ่มขายไฟฟ้าในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ในประเทศเวียดนาม ซึ่งมีกำลังการติดตั้ง 48 เมกะวัตต์ เข้าระบบเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นการลงทุนผ่านบริษัทร่วมทุน Troung Thanh Tra Vinh Wind Power Joint Stock Company (TTTV) บริษัทได้เข้าทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ Vietnam Electricity และสัญญาก่อสร้าง (EPC Contract) กับผู้รับเหมาก่อสร้าง
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนจะพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม เวียดนามในเฟส 2 ขนาดกำลังการผลิต 48 เมกะวัตต์ เพื่อต่อยอดธุรกิจด้านพลังงานลม ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนทำการศึกษาและเตรียมพัฒนาโครงการต่อไป
"โครงการวินด์ฟาร์มในเวียดนามสามารถดำเนินการจ่ายไฟฟ้าได้ตามแผนที่วางไว้ และบริษัทฯ อยู่ระหว่างพิจารณาพัฒนาในเฟส 2 ต่อทันที เนื่องจากมีความต้องการที่จะต่อยอดธุรกิจพลังงานลมมากขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนรายได้และกำไรในอนาคตให้เติบโตอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันก จะสนับสนุนให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าในมือให้ไปสู่เป้าหมายที่ระดับ 400 เมกะวัตต์ ในปี 2567 จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวม 215.2 เมกะวัตต์"
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกล่าวอีกว่า ในช่วงครึ่งปีหลังนับตั้งแต่ไตรมาส 3/2564 บริษัทฯ ได้จำหน่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Leo 1 มีกำลังการผลิตขนาด 20 เมกะวัตต์ ในประเทศญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้วซึ่งจะรับรู้รายได้ทันที และโครงการพลังงานลมในประเทศเวียดนาม ขนาด 48 เมกะวัตต์ สามารถ COD ได้ตามแผนที่วางไว้ นอกจากนี้ SSP จะเริ่มทยอยรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาดกำลังผลิต 9.9 เมกะวัตต์ หลังจากได้ทำรายการซื้อหุ้นของบริษัท ยูนิ พาวเวอร์ เทค จำกัด (UPT) จากกลุ่มผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 49% ทำให้ในปี 2564 บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศทะลุ 200 เมกะวัตต์ ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
โดยจะสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานในปี 2564 ยังรักษาการเติบโตได้เป็นอย่างดี และเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้จะต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แต่ทุกอย่างยังเดินหน้าได้ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งบริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนรายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้นตามกำลังการผลิตที่สูงขึ้น ดังนั้น จะสามารถสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นได้อย่างยั่งยืน