นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ลงพื้นที่บ้านหินขาว หมู่ 15 ต.สาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น เพื่อติดตามความก้าวหน้าโครงการเจาะบ่อบาดาลลึก 1,000 เมตรหรือ 1 กิโลเมตรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (แอ่งนครราชสีมา-อุบลราชธานี แอ่งอุดรธานี-สกลนคร และแอ่งเลย” ซึ่งถือเป็นการเจาะบ่อน้ำบาดาลได้ในระดับความลึกที่มากที่สุดครั้งแรกของประเทศไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สำหรับบรรยากาศในการขุดเจาะเป็นไปอย่างคึกคัก โดยนายศักดิ์ดาได้นำ E-log หรือเครื่องหยั่งธรณีฟิสิกส์หลุมเจาะ หย่อนไปในบ่อที่เปิดปากหลุม 8 นิ้ว เพื่อวัดขนาดความลึกของบ่อและเก็บข้อมูลเพื่อนำมาประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ ปรากฏว่าสามารถวัดได้ที่ขนาดความลึก 1,014 เมตรหรือลึกถึง 1 กิโลเมตรเศษ
นายศักดิ์ดากล่าวต่อไปว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กนช.) ได้มอบนโยบายให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ภายใต้การกำกับดูแลของนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส. เร่งดำเนินการจัดหาแหล่งน้ำบาดาลระดับลึกเพื่อการอุปโภคบริโภค และน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรให้แก่ประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีน้ำดื่มน้ำใช้ทุกครัวเรือน ตามแผนบริหารจัดการน้ำของประเทศ (ปี พ.ศ. 2561-2580) กรมทรัพยากรน้ำบาดาลจึงได้ดำเนิน “โครงการศึกษาเพื่อการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลระดับลึกพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (แอ่งนครราชสีมา-อุบลราชธานี แอ่งอุดรธานี-สกลนคร และแอ่งเลย” เพื่อเจาะหาน้ำบาดาลระดับลึก พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เริ่มตั้งแต่เดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจาะสำรวจน้ำบาดาล ณ บ้านหินขาว ม.15 ต.สาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น และสามารถเจาะได้ลึกถึง 1,014 เมตร และพบชั้นน้ำบาดาลใหม่ๆ หลายชั้น สลับกับชั้นน้ำกร่อยและน้ำเค็ม ที่ระดับความลึกตั้งแต่ 180-190, 260-320, 540-550, 590-610, 750-770, 840-860 และ 970-990 เมตร โดยในชั้นที่พบน้ำบาดาลมากที่สุดคือ 540-600 เมตร สามารถนำมาใช้ได้ที่ 100 ลบ.ม.ต่อชั่วโมง
อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลกล่าวต่อว่า ขั้นตอนจากนี้จะมีการทำบ่อที่เจาะพบชั้นน้ำที่ระดับความลึกกว่า 1 กิโลเมตรให้เรียบร้อยใช้เวลาประมาณ 2 เดือนจากนี้ เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลคุณภาพดี ศักยภาพสูง ขึ้นมาใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคขนาดใหญ่ให้ประชาชนใน ต.สาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น ได้มีน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคไม่น้อยกว่า 1 หมื่นคน พร้อมทั้งเตรียมแผนขยายผลไปยังพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (Northeastern Economic Corridor : NeEC - Bioeconomy) ได้แก่ จ.นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย มุกดาหาร นครพนม บุรีรัมย์ สุรินทร์ และศรีสะเกษ เป็นต้น เลิกขาดน้ำ
“การเจาะบ่อน้ำบาดาลที่ระดับความลึกกว่า 1 พันเมตรหรือ 1 กิโลเมตร ถือเป็นความท้าทายของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เพื่อช่วยประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำจากสภาวะฝนทิ้งช่วงเป็นประจำทุกปี ประกอบกับสภาพพื้นที่บริเวณกลางแอ่งรองรับด้วยชั้นเกลือหินใต้ดิน ส่งผลให้ชั้นน้ำบาดาลมีคุณภาพกร่อย-เค็มในบางพื้นที่ เช่น จ.ขอนแก่น มหาสารคาม และร้อยเอ็ด เป็นต้น นอกจากนี้ น้ำบาดาลยังกักเก็บในรอยแตกหรือรอยต่อของชั้นหินแข็งระดับลึก ภายใต้โครงสร้างทางธรณีที่ซับซ้อน ส่งผลให้การเจาะและพัฒนาน้ำบาดาลระดับตื้นมักจะไม่ประสบผลสำเร็จ มีปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ชาวบ้านต้องใช้น้ำจากแหล่งน้ำผิวดิน ซึ่งมีโอกาสเกิดการปนเปื้อนจากสารเคมีทางการเกษตรหรือแบคทีเรียได้ง่าย และอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ขาดโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรน้ำที่เหมาะสมต่อการอุปโภคบริโภค ทำให้ขาดความมั่นคงด้านน้ำ ขาดโอกาสที่จะพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น การที่กรมทรัพยากรน้ำบาดาลสามารถเจาะน้ำบาดาลได้ในระดับความลึกมากกว่า 1 พันเมตรครั้งนี้ จะทำให้ปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค เกษตร อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการหมดไปจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งยังสามารถรองรับความต้องการใช้น้ำด้านอุปโภคบริโภค เศรษฐกิจ สังคม เกษตรกรรม และในภาคอุตสาหกรรมได้ในอนาคต” นายศักดิ์ดากล่าว
สำหรับบรรยากาศในการขุดเจาะเป็นไปอย่างคึกคัก โดยนายศักดิ์ดาได้นำ E-log หรือเครื่องหยั่งธรณีฟิสิกส์หลุมเจาะ หย่อนไปในบ่อที่เปิดปากหลุม 8 นิ้ว เพื่อวัดขนาดความลึกของบ่อและเก็บข้อมูลเพื่อนำมาประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ ปรากฏว่าสามารถวัดได้ที่ขนาดความลึก 1,014 เมตรหรือลึกถึง 1 กิโลเมตรเศษ
นายศักดิ์ดากล่าวต่อไปว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กนช.) ได้มอบนโยบายให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ภายใต้การกำกับดูแลของนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส. เร่งดำเนินการจัดหาแหล่งน้ำบาดาลระดับลึกเพื่อการอุปโภคบริโภค และน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรให้แก่ประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีน้ำดื่มน้ำใช้ทุกครัวเรือน ตามแผนบริหารจัดการน้ำของประเทศ (ปี พ.ศ. 2561-2580) กรมทรัพยากรน้ำบาดาลจึงได้ดำเนิน “โครงการศึกษาเพื่อการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลระดับลึกพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (แอ่งนครราชสีมา-อุบลราชธานี แอ่งอุดรธานี-สกลนคร และแอ่งเลย” เพื่อเจาะหาน้ำบาดาลระดับลึก พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เริ่มตั้งแต่เดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจาะสำรวจน้ำบาดาล ณ บ้านหินขาว ม.15 ต.สาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น และสามารถเจาะได้ลึกถึง 1,014 เมตร และพบชั้นน้ำบาดาลใหม่ๆ หลายชั้น สลับกับชั้นน้ำกร่อยและน้ำเค็ม ที่ระดับความลึกตั้งแต่ 180-190, 260-320, 540-550, 590-610, 750-770, 840-860 และ 970-990 เมตร โดยในชั้นที่พบน้ำบาดาลมากที่สุดคือ 540-600 เมตร สามารถนำมาใช้ได้ที่ 100 ลบ.ม.ต่อชั่วโมง
อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลกล่าวต่อว่า ขั้นตอนจากนี้จะมีการทำบ่อที่เจาะพบชั้นน้ำที่ระดับความลึกกว่า 1 กิโลเมตรให้เรียบร้อยใช้เวลาประมาณ 2 เดือนจากนี้ เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลคุณภาพดี ศักยภาพสูง ขึ้นมาใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคขนาดใหญ่ให้ประชาชนใน ต.สาวะถี อ.เมือง จ.ขอนแก่น ได้มีน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคไม่น้อยกว่า 1 หมื่นคน พร้อมทั้งเตรียมแผนขยายผลไปยังพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (Northeastern Economic Corridor : NeEC - Bioeconomy) ได้แก่ จ.นครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย มุกดาหาร นครพนม บุรีรัมย์ สุรินทร์ และศรีสะเกษ เป็นต้น เลิกขาดน้ำ
“การเจาะบ่อน้ำบาดาลที่ระดับความลึกกว่า 1 พันเมตรหรือ 1 กิโลเมตร ถือเป็นความท้าทายของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เพื่อช่วยประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำจากสภาวะฝนทิ้งช่วงเป็นประจำทุกปี ประกอบกับสภาพพื้นที่บริเวณกลางแอ่งรองรับด้วยชั้นเกลือหินใต้ดิน ส่งผลให้ชั้นน้ำบาดาลมีคุณภาพกร่อย-เค็มในบางพื้นที่ เช่น จ.ขอนแก่น มหาสารคาม และร้อยเอ็ด เป็นต้น นอกจากนี้ น้ำบาดาลยังกักเก็บในรอยแตกหรือรอยต่อของชั้นหินแข็งระดับลึก ภายใต้โครงสร้างทางธรณีที่ซับซ้อน ส่งผลให้การเจาะและพัฒนาน้ำบาดาลระดับตื้นมักจะไม่ประสบผลสำเร็จ มีปริมาณน้ำไม่เพียงพอ ทำให้ชาวบ้านต้องใช้น้ำจากแหล่งน้ำผิวดิน ซึ่งมีโอกาสเกิดการปนเปื้อนจากสารเคมีทางการเกษตรหรือแบคทีเรียได้ง่าย และอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ขาดโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรน้ำที่เหมาะสมต่อการอุปโภคบริโภค ทำให้ขาดความมั่นคงด้านน้ำ ขาดโอกาสที่จะพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น การที่กรมทรัพยากรน้ำบาดาลสามารถเจาะน้ำบาดาลได้ในระดับความลึกมากกว่า 1 พันเมตรครั้งนี้ จะทำให้ปัญหาขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค เกษตร อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการหมดไปจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งยังสามารถรองรับความต้องการใช้น้ำด้านอุปโภคบริโภค เศรษฐกิจ สังคม เกษตรกรรม และในภาคอุตสาหกรรมได้ในอนาคต” นายศักดิ์ดากล่าว