xs
xsm
sm
md
lg

NRF โหมอีคอมเมิร์ซ-แพลนต์เบส ทุ่ม 2 พันล้านลุยซื้อ-ร่วมทุนใน ตปท.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการรายวัน 360 - “NRF” ปรับเป้ารายได้ปี 67 เป็น 4,000-5,000 ล้านบาท จากเดิม 3,000 ล้านบาท อัดเม็ดเงิน 2 พันล้านบาทลุยร่วมทุนและซื้อกิจการในต่างประเทศ คาดสรุปอีก 3 ดีลในปีนี้ ล่าสุดปิดดีลกับ WellPath มูลค่า 135.3 ล้านบาทรุกขยายธุรกิจใหม่ เสริมแกร่งอีคอมเมิร์ซ อัปเป้าดันรายได้สูงกว่าปีที่แล้ว 50%

นายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ผู้ผลิต จัดหา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงสำหรับประกอบอาหาร อาหารมังสวิรัติที่ไม่มีส่วนผสมของไข่และนม อาหารโปรตีนจากพืช อาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมรับประทาน และเครื่องดื่มสำเร็จรูปชนิดผงและน้ำ เปิดเผยว่า บริษัทฯ จะใช้งบรวมประมาณ 2,000 ล้านบาทเพื่อลงทุนในช่วงนี้และคาดว่าจนถึงสิ้นปีหน้า (พ.ศ. 2565) พร้อมทั้งได้ปรับเป้าหมายรายได้รวมใหม่จากเดิมที่ตั้งไว้ในปี พ.ศ. 2567 ประมาณ 3,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 4,000-5,000 ล้านบาท

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายตลาดด้วยช่องทางอีคอมเมิร์ซและการเข้าซื้อกิจการหรือร่วมลงทุนในกิจการสตาร์ทอัพหรือเอสเอ็มอีขนาดเล็กในต่างประเทศที่มีการทำธุรกิจซื้อขายบนแพลตฟอร์มแอมะซอนเป็นหลัก และสินค้านั้นจะเป็นสินค้าติดท็อปส์ไฟว์ของตลาด ขณะที่เราก็จะผลิตสินค้าของเราเพื่อป้อนจำหน่ายให้เครือข่ายของเราในต่างประเทศด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นก็เป็นการสร้างฐานการผลิตต่างๆ ในต่างประเทศเพื่อลดต้นทุนการขนส่งและแก้ปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ในการขนส่ง เช่น จะซื้อโรงงานผลิตในอเมริกา หรือโรงงานที่ร่วมกับ ปตท.ในไทย

ภายในสิ้นปีนี้คาดว่าจะมีการสรุปอีกอย่างน้อย 3 ดีล ส่งผลทำให้รายได้ในปี 2564 สูงกว่าปีที่แล้วไม่น้อยกว่า 50% และในปีหน้าก็ยังมีการเจรจากับธุรกิจที่น่าสนใจเช่นกันต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดลงทุนในโครงการ WellPath ซึ่งเป็นการลงทุนภายใต้บริษัท Boosted NRF Corporation ต่อยอด E-commerce ต่อจากโครงการ Prime Labs และ SOL Trading โดยการลงทุนดังกล่าวเป็นการซื้อทรัพย์สินทางปัญญา เครื่องหมายการค้า องค์ความรู้และความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจสินค้าโภคภัณฑ์เฉพาะ (know-how) และสินทรัพย์ไม่มีตัวตนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ ภายใต้แบรนด์ของกลุ่ม WellPath เช่น Pure Apple Cider Vinegar Gummies, Boost Elderberry Gummies, Zen Anxiety and Stress Relief Supplement และ Vital Turmeric Gummies ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพชั้นนำที่ขายอยู่บน Amazon.com และอยู่ในตลาดมาแล้วกว่า 6 ปี

ปัจจุบันมีการจัดจำหน่ายสินค้าทั้งหมด 11 ผลิตภัณฑ์ (SKU) เช่น วิตามินและอาหารเสริม ชนิดเยลลีขายในอเมริกา มูลค่าลงทุนไม่เกิน 4.06 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 135.3 ล้านบาท คาดว่าธุรกรรมจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 ปี 2564

ส่วนธุรกิจแพลนต์เบสนั้นจะขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าตลาดรวมจะเติบโตเฉลี่ย 100% ต่อปี มีผู้ํประกอบการเข้าสู่ตลาดมากขึ้น พบว่าในซูเปอร์มาร์เกตเมื่อ 3 ปีที่แล้วมีไม่ถึง 10 เอสเคยู เพิ่มเป็น 20 กว่าเอสเคยูปีที่แล้ว และในปีนี้ตลาดรวมน่าจะมีมากกว่า 40 เอสเคยู มูลค่าตลาดไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ก็เตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และอยู่ระหว่างการร่วมมือกับปั๊ม ปตท.เปิดตัวธุรกิจร้านค้าปลีกจำหน่ายอาหารแพลนต์เบสด้วยภายในสิ้นปีนี้

แนวโน้มที่จะทำให้แพลนต์เบสในไทยเติบโตมากขึ้นมาจากปัจจัยหลักคือ ในต่างประเทศโดยเฉพาะยุโรป อเมริกา จะจัดเก็บภาษีในอัตราที่สูงมากจากกระบวนการผลิตที่มีการปล่อยคาร์บอนสูง ซึ่งการผลิตอาหารจากเนื้อสัตว์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ปล่อยคาร์บอนสูง ทำให้ต้องมีการปรับระบบเรื่องคาร์บอนฟุตพรินต์กัน และเทคโนโลยีที่ทำให้การผลิตแพลนต์เบสมีการพัฒนามากขึ้น

ทั้งนี้ หากเป็นไปตามแผนงานคาดว่าสัดส่วนรายได้ในปี 2567 จะมาจากอีคอมเมิร์ซ 50% มาจากแพลนต์เบส 20% และที่เหลืออื่นๆ 30% โดยมาจากตลาดอเมริกา 50% มาจากตลาดเอเชียกับยุโรป 50%


ภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 (เมษายน-มิถุนายน) บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 448 ล้านบาท เติบโต 37% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 327 ล้านบาท เป็นผลเติบโตจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้ธุรกิจอาหารไทยและอาหารท้องถิ่น (Ethnic Food) และอาหารโปรตีนจากพืช (Plant-based Food) ที่สูงขึ้น ประเทศที่เติบโตหลักๆ มาจากอเมริกาเหนือและยุโรป และรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากบริษัท Boosted NRF Corporation และบริษัท City Food

หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า รายได้จากการขายในไตรมาส 2/64 ลดลงเล็กน้อย โดยสาเหตุหลักมาจากรายได้ในธุรกิจอาหารไทยและอาหารท้องถิ่น รวมถึงอาหารโปรตีนจากพืชลดลง เนื่องจากระบบขนส่งทั่วโลกล่าช้า และเรือขาดแคลนทำให้เรือที่ทางบริษัทใช้บรรทุกสินค้าไม่มารับสินค้าที่ท่าเรือตามกำหนดในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้ส่งสินค้าออกไม่ได้ตามแผนที่กำหนดในไตรมาสสอง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่างๆ ทั้งการผลิตและสต๊อกสินค้าเกิดขึ้นแล้วในไตรมาสนี้ ส่งผลให้รายได้ที่ควรจะเข้ามาในไตรมาส 2/64 มูลค่าประมาณ 100 ล้านบาทไม่เป็นไปตามคาด แต่อย่างไรก็ตาม สินค้าของ NRF ที่รอจัดส่งเมื่อเดือนมิถุนายน มูลค่า 80 ล้านบาท ได้ถูกจัดส่งเป็นที่เรียบร้อยในเดือนกรกฎาคม และจะเป็นรายได้เข้ามาในไตรมาส 3/64 แทน ทั้งนี้ หากระบบขนส่งทั่วโลกไม่ขัดข้อง ถ้าบริษัทฯ  สามารถจัดส่งสินค้าตามแผนได้ทั้งหมดภายในไตรมาสนี้ จะส่งผลให้ผลประกอบการในไตรมาสนี้เกินกว่าเป้าหมายที่บริษัทฯ คาดไว้ และจะเป็นสถิติใหม่ทั้งในแง่รายได้และกำไรของบริษัทฯ อีกด้วย

สำหรับกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติของบริษัทฯ (Normalized Net Profit) ในไตรมาส 2/2564 ทำได้ 29 ล้านบาท ลดลง 38.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย ค่าเสื่อมและค่าใช้จ่ายตัดจ่าย (EBITDA) อยู่ที่ 91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านอัตรากำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ (Net Profit Margin) ทำได้ 6.2% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 13.9% เนื่องจากมีการรับรู้ส่วนแบ่งผลขาดทุนที่เพิ่มขึ้นจากบริษัท Plant and Bean Ltd. ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้กระบวนการได้รับใบอนุญาตจาก British Retail Consortium (BRC) ล่าช้าออกไป ทั้งนี้ คาดว่าจะได้รับใบอนุญาตในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งจะสามารถเริ่มกำลังการผลิตได้ทันที และคาดว่าจะได้เห็นการเพิ่มขึ้นของยอดขายในไตรมาส 4/64

ส่วนผลการดำเนินงานในงวดครึ่งปีแรกของปีนี้ (มกราคม-มิถุนายน 2564) บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 920 ล้านบาท เติบโต 55.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 592 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้มาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารไทยและอาหารท้องถิ่น (Ethnic Food) 82% ผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช (Plant-based Food) 5% ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน (Functional Products) 2% และการเติบโตที่สำคัญ คือธุรกิจ E-Commerce Platform คิดเป็นสัดส่วน 11% ของรายได้ เนื่องจากบริษัทฯ มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากบริษัท Boosted NRF Corporation โดยซื้อผลิตภัณฑ์ Prime Labs เข้ามาจัดจำหน่ายเมื่อต้นปีที่ผ่านมา รวมถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นหลังซื้อทรัพย์สินภายใต้แบรนด์ SOL Trading ซึ่งมีแพลตฟอร์ม E-commerce ในการขาย โดยเพิ่มโอกาสการเสนอขายสินค้าในหมวดผลิตภัณฑ์อื่นๆ แก่กลุ่มลูกค้าเดิม และสามารถต่อยอดไปสู่แผนการลงทุนในอนาคต เช่น การรับจ้างเป็นผู้ผลิตสินค้า (OEM) รวมถึงการต่อยอดธุรกิจ V-shape เป็นต้น

ขณะที่กำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติของบริษัทฯ ทำได้ 98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 93 ล้านบาท ในส่วนของ EBITDA อยู่ที่ 174 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 131 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติ (Net Profit Margin) ทำได้ 10.3% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 15.4% เนื่องจากรับรู้ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายของ City Food และ BOOSTED NRF Corp. ที่เพิ่มขึ้น


นายแดน ปฐมวาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาดและในช่วงล็อกดาวน์ บริษัทฯ มองเห็นศักยภาพของตลาด E-commerce ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยไม่หยุดพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมถึงมองหาพาร์ตเนอร์และโอกาสทางธุรกิจเพิ่มเติมเพื่อสร้างการเติบโตผ่าน E-commerce ซึ่งบริษัทฯ ให้ความสำคัญต่อทุกดีลไม่ว่าจะเป็นดีลขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ เพื่อต่อยอดและสร้างพอร์ตโฟลิโอของ NRF ในการขยายธุรกิจอีคอมเมิร์ซให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้เข้าซื้อทรัพย์สินภายใต้แบรนด์ SOL Trading ภายใต้บริษัท BOOSTED NRF Corporation ได้สำเร็จ มูลค่าการลงทุน 2.92 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย The Cocoa Trader, Fossil, Power Caribbean Cacao, and Aspen Naturals ซึ่งเป็นอาหารเพื่อสุขภาพชั้นนำที่ขายอยู่บนแพลตฟอร์ม Amazon.com ปัจจุบันมีการจัดจำหน่ายสินค้าทั้งหมด 45 รายการ เช่น ผงโกโก้ ผงเจลาติน และจัดจำหน่ายในสหรัฐฯ สำหรับการเข้าลงทุนครั้งนี้ ถือเป็นการสร้างจุดเริ่มต้นที่แข็งแกร่งในผลิตภัณฑ์อาหารและอาหารเสริมบน E-commerce ระดับโลก รวมถึงเป็นการขยายโอกาสทางธุรกิจเพิ่มเติมสำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนจากพืช ซึ่งบริษัทฯ ได้รับรู้รายได้จากทั้ง Prime Labs และ SOL Trading เข้ามาในไตรมาสนี้ ส่งผลให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซเติบโตขึ้นกว่า 91.4% จากไตรมาสที่ 1/2564


กำลังโหลดความคิดเห็น