นายศุภกร ตุลยธัญ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นครึ่งปีหลังคือความสามารถการกระจายวัคซีนของแต่ละประเทศ โดยพบว่ามีหลายประเทศที่กระจายวัคซีนแล้วมากกว่า 50% ของประชากรทั้งหมด โดยที่ตลาดหุ้นในประเทศกลุ่มนั้นมีความสามารถปรับตัวขึ้นสูงกว่าระดับก่อนเกิด COVID-19 และเหนือกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะมีผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้อย่างยั่งยืนคือการเร่งฉีดวัคซีนของไทยให้ได้เกิน 50% โดยเร็ว และการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จึงจะนำไปสู่การฟื้นตัวของความเชื่อมั่นในการลงทุนได้ในระยะ 6 เดือนข้างหน้า ดังนั้นแนะนำการลงทุนในตลาดที่มีอัตราการฉีดวัคซีนที่สูงแล้ว และดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจมีการเร่งตัว เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นยุโรป
อย่างไรก็ตามก็มีความเสี่ยงทางด้านปัจจัยพื้นฐานที่ควรติดตาม ล่าสุดอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลต่อความกังวลของนักลงทุนทั่วโลก ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ย้ำว่าเป็นเพียงการปรับขึ้นชั่วคราว และในขณะเดียวกันค่าเงินของสหรัฐฯ ปัจจุบันเริ่มกลับมามีแนวโน้มแข็งค่า ส่งผลให้ค่าเงินบาทเกิดการอ่อนค่าไปแล้วประมาณ 10% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าค่าเงินดอลลาร์จะมีแนวโน้มแข็งขึ้นอีกอย่างน้อย 3-6 เดือนข้างหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดี และแนวโน้มการเริ่มดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวของเฟดเมื่อเทียบกับธนาคารกลางอื่นๆ
ทั้งนี้ คาดว่าเฟดจะเริ่มลดวงเงิน QE ในปี 2022 และมีเป้าหมายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2023 อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งแม้ลดวงเงิน QE โดยสถิติปี 2013 ที่เฟดเคยลด QE พบว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับลดลงเพียง 5% และกลับมาเพิ่มขึ้น 17% ภายในสิ้นปี นอกเหนือจากนั้นยังมีการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพิ่มเติมจากนโยบายการคลังผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในปลายปีนี้และการลงทุนในนโยบายสวัสดิการสังคมในปีหน้า ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนต่อเนื่องสำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ส่วนตลาดหุ้นไทยเมื่อปี 2013 นั้นปรับลดลงถึง 20% จากการประกาศลด QE จึงอาจจะเป็นแรงกดดันในเชิง Fund Flow สำหรับตลาดไทย ประกอบกับการแพร่ระบาดแบบเร่งตัวของไวรัสโควิด ถือเป็นสองปัจจัยหลักที่จะกดดันตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 3/2564 ในขณะที่การฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงท้ายปี ดังนั้นช่วงที่ดัชนีปรับลดลงจึงเป็นโอกาสเก็บสะสมหุ้นเข้าพอร์ต
“เราแนะนำแผนการลงทุนแบบ Income ที่มีการลงทุนในหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศรวมกัน 15% และแผน Balance ลงทุนในหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศรวมกัน 40% เนื่องจากในกรณีที่ตลาดผันผวน ผลขาดทุนจะยังไม่สูงเท่าพอร์ตที่มีหุ้นเยอะมาก และมองกลุ่มอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ ไฟแนนซ์ อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร และรีทส์ มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดีเมื่อเทียบกับตลาด โดยมองว่า
ไตรมาส 3 เป็นโอกาสลงทุน ไตรมาส 4 หุ้นไทยน่าจะได้รับปัจจัยบวกจากการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้น และปี 2022 จะเป็นปีที่ดีสำหรับการลงทุนในหุ้นไทย” นายศุภกรกล่าว
ขณะที่ นายชาตรี มีชัยเจริญยิ่ง ผู้จัดการกองทุนและหัวหน้าการลงทุนฝ่ายตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด กล่าวในหัวข้อ Supply Chain Transformation and Vietnam Manufacturing Boom ว่า ปัจจุบันเวียดนามกำลังปรับเปลี่ยนจากประเทศเกษตรกรรมสู่การเป็นฐานการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมของโลก หลังจากเกิดการเคลื่อนย้ายฐานการผลิตจากความขัดแย้งทางด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เนื่องจากข้อได้เปรียบด้านค่าแรง รวมถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษี ส่วนใหญ่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมการผลิต สาธารณูปโภค และอสังหาริมทรัพย์ โดยมีผู้ประกอบการชั้นนำที่เข้ามาลงทุน เช่น LG, PANASONIC, FOXCONN ฯลฯ คาดว่าการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติหรือ FDI ในปี 2564 จะมีสัดส่วน 6% ของจีดีพีเวียดนาม ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจเวียดนามในช่วง 10 ปีนับจากนี้
สำหรับกลุ่มหลักทรัพย์ที่น่าลงทุนคือ อุตสาหกรรม ที่อยู่อาศัย และโลจิสติกส์ จากการเติบโตของภาคการผลิตและสังคมเมือง โดยไตรมาส 2 การนำเข้า-ส่งออกของเวียดนามโต 40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ทั้งนี้ แม้ว่าปัจจุบันเวียดนามจะเผชิญกับการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ แต่ บลจ.พรินซิเพิลยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุน โดยมองว่ามีความเป็นไปได้ที่จะสามารถคลายล็อกดาวน์และเริ่มเปิดเมืองในเดือนกันยายน และจะเร่งฉีดวัคซีนแก่ประชาชนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ช่วงล็อกดาวน์จึงเป็นโอกาสทยอยลงทุน เนื่องจากการปรับฐานของตลาดหุ้นเวียดนามได้สะท้อนข่าวร้ายหมดแล้ว โดยสามารถลงทุนผ่าน กองทุนพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ (PRINCIPAL VNEQ) ซึ่งเป็นกองทุนแฟลกชิปที่เข้าลงทุนโดยตรงในตลาดหุ้นเวียดนามและให้ผลตอบแทนย้อนหลัง 2 ปีประมาณ 50% (Benchmark 73.35% source : Morning Star ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2564)
นายธนา เชนะกุล ผู้จัดการกองทุนฝ่ายตราสารทางเลือก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด กล่าวในหัวข้อ Alternative Investment: Opportunities Arising in Thai REITs ว่า รีทส์ไทยมีจุดเด่นที่จ่ายผลตอบแทนจากเงินปันผลอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยมากกว่า 5% ต่อปีมาตลอดนับตั้งแต่ปี 2016 แม้ในปีที่ผ่านมาที่มี COVID-19 รีทส์ไทยสามารถจ่ายเงินปันผลเฉลี่ย 5.84% (Source : Bloomberg ณ ธันวาคม 2563) ต่อปี ทั้งนี้ หลังการระบาดของ COVID-19 ราคารีทส์ไทยยังปรับขึ้นช้ากว่าหุ้น เนื่องจากการ Lockdown ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตนอกบ้าน และการกระจายวัคซีนยังไม่ถึงเป้าหมายรวมถึงตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเป็นจังหวะที่ควรลงทุนในรีทส์ โดย บลจ.พรินซิเพิลพิจารณาจากการวิเคราะห์ที่สำคัญต่างๆ เช่น ปัจจัยพื้นฐานเชิงธุรกิจ ปัจจัยทางเทคนิค และปัจจัยด้านราคาพื้นฐาน โดยเราพบว่าแม้การระบาดของโรค COVID-19 จะส่งผลต่ออัตราการจ่ายเงินปันผลต่อหน่วยของรีทส์ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตนอกบ้าน โดยกลุ่มโรงแรมอาจได้รับผลกระทบที่หนักกว่ากลุ่มอื่นๆจากนักท่องเที่ยวที่ลดลง ในขณะที่กลุ่มค้าปลีก และออฟฟิศยังคงมีเสถียรภาพโดยมีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยค่อนข้างสูงในทำเลที่ดี อีกทั้งในระยะยาวการ Work from Home ไม่สามารถทดแทนการเข้าออฟฟิศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมแม้ได้รับผลกระทบจากความต้องการเช่าพื้นที่ลดลงและการเดินทางไปดูพื้นที่ทำได้ยากขึ้น แต่ก็ยังมีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยสูงกว่า 85% ระยะยาวคาดว่าน่าจะได้รับผลเชิงบวกจากความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้าของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนจะเป็นปัจจัยเร่งที่มีผลต่อราคารีทส์และพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ ปัจจุบันคาดว่ารีทส์ไทยเข้าใกล้จุดต่ำสุดแล้ว จาก Fund Flow ที่ไหลออกไปตั้งแต่เริ่มการแพร่ระบาด COVID-19 สะท้อนถึงแรงขายในอนาคตที่มีจำกัด ในขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของ REITs ไทย เทียบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี มีส่วนต่างประมาณ 3.7% ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี บ่งชี้ว่าราคารีทส์ไทยตอนนี้ยังไม่สะท้อนโอกาสฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่ง บลจ.พรินซิเพิลมีการปรับพอร์ตการลงทุนให้มีการกระจายความเสี่ยงอย่างสมดุลมากขึ้น โดยมีกองทุนพรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม (PRINCIPAL iPROP) ที่ลงทุน RIETs ไทยและสิงคโปร์อย่างละประมาณ 50:50 ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้ปรับพอร์ตมาลงทุนรีทส์ไทยเพิ่มขึ้นจาก upside ที่ค่อนข้างน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะยาว
นายศุภกร ตุลยธัญ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน กล่าวโดยสรุป “เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในครึ่งปีหลังของปีนี้ การเร่งฉีดวัคซีนของหลายประเทศจะเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไป แนะนำการลงทุนในกลุ่มประเทศที่ได้รับอานิสงส์จากอัตราการฉีดวัคซีนในระดับสูงเป็นลำดับแรกๆ เช่น สหรัฐฯ และยุโรป โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะมีอัตราการฉีดสูงขึ้นเป็นลำดับถัดไป รวมทั้งประเทศไทย
ทั้งนี้ ประเทศเวียดนามมีความน่าสนใจลงทุนจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูงและธีมการลงทุนที่ค่อนข้างชัดเจน และควรจะเพิ่มการลงทุนในกลุ่มสินทรัพย์รีทส์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีในภาวะเศรษฐกิจขยายตัวและ valuation ที่น่าสนใจ เราคงเน้นกลยุทธ์การจัดพอร์ตลงทุนแบบ Income และ Balance ที่มีการให้น้ำหนักสินทรัพย์เสี่ยงที่พอเหมาะ และมีการควบคุมความเสี่ยงที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า”