“จุรินทร์” ประชุมคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการตลาด เคาะ “โครงการประกันรายได้ข้าวปี 3” ใช้หลักเกณฑ์เดิม พร้อมมาตรการคู่ขนาน เตรียมนำเสนอ นบข.และ ครม.พิจารณา ส่วนโครงการประกันรายได้ปีที่ 2 ประสบความสำเร็จ ช่วยเกษตรกรได้ทั้งสิ้น 7.67 ล้านครัวเรือน
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการตลาด ครั้งที่ 1/2564 ผ่านระบบ Zoom ว่า ที่ประชุมได้ให้ความเห็นชอบเบื้องต้นในการเดินหน้านโยบายประกันรายได้สินค้าข้าว ซึ่งถือเป็นการนับหนึ่งโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 3 โดยใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับโครงการปี 2 และจะมีการนำเสนอขอความเห็นชอบต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานอีกครั้งหนึ่ง ก่อนนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป
โดยเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการสามารถลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2564 ถึงวันที่ 31 ต.ค. 2564 และภาคใต้ลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย. 2564 ถึงวันที่ 28 ก.พ. 2565 และการจ่ายเงินส่วนต่างจะเริ่มต้นตั้งแต่เดือน ต.ค. 2564-28 ก.พ. 2565 ส่วนภาคใต้จะเริ่มจ่ายเงินส่วนต่างตั้งแต่เดือน มี.ค.-พ.ค. 2565
สำหรับมาตรการคู่ขนานที่จะเข้ามาช่วยเสริมเพื่อช่วยเกษตรกรผู้ปลูกข้าวมี 3 มาตรการ โดย 1. สนับสนุนให้เกษตรกรชะลอการขายในช่วงที่ข้าวออกสู่ตลาดมาก เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าวราคาตกจนเกินไป โดยเกษตรกรที่ชะลอขายข้าวจะได้รับเงินช่วยเหลือตันละ 1,500 บาท 2. ช่วยเหลือดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่สหกรณ์หรือโรงสีที่เก็บสต๊อกข้าวและไม่ปล่อยออกสู่ตลาด โดนชดเชยดอกเบี้ย 3% และ 3. เร่งรัดส่งเสริมการส่งออกข้าวเพื่อระบายข้าวในประเทศ เพราะฤดูกาลผลิตหน้าจะมีข้าวออกสู่ตลาดมากกว่าปีที่ผ่านมาถึง 26 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 5% จึงต้องมีมาตรการช่วยเหลือให้มีการส่งออกข้าวโดยช่วยดอกเบี้ย 3% เป็นเวลา 6 เดือน ในเดือน ต.ค. 2564 ถึง มี.ค. 2565
นายจุรินทร์กล่าวว่า ผลการดำเนินโครงการปี 2 มีการจ่ายเงินส่วนต่างสูงสุดสำหรับข้าว 5 ชนิด ดังนี้ ข้าวหอมมะลิจ่ายเงินชดเชยสูงสุด 42,830 บาทต่อครัวเรือน ข้าวหอมนอกพื้นที่ จ่ายสูงสุด 41,680 บาทต่อครัวเรือน ข้าวเปลือกเจ้า จ่ายสูงสุด 36,670 บาทต่อครัวเรือน ข้าวหอมปทุมธานี จ่ายสูงสุด 26,674 บาทต่อครัวเรือน และข้าวเปลือกเหนียว จ่ายสูงสุด 33,350 บาทต่อครัวเรือน
“การดำเนินโครงการประกันรายได้ปี 2 ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างดี สามารถช่วยเหลือเกษตรกรให้มีรายได้ช่วงราคาผลผลิตต่ำกว่าราคาที่ประกันรายได้ โดยมีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 7.67 ล้านครัวเรือน แบ่งเป็นเกษตรกรผู้ปลูกข้าว 4.5 ล้านครัวเรือน ยางพารา 1.78 ล้านครัวเรือน มันสำปะหลัง 5.2 แสนครัวเรือน ปาล์มน้ำมัน 3.7 แสนครัวเรือน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 4.5 แสนครัวเรือน และโครงการประกันรายได้ปีที่ 3 จะเดินหน้าต่อ เพราะเป็นนโยบายสำคัญหนึ่งของรัฐบาล” นายจุรินทร์กล่าว
นอกจากนี้ ยังได้เร่งรัดให้กรมการค้าต่างประเทศเร่งเจรจาขายข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) กับจีน ซึ่งยังมีความตกลงซื้อขายข้าวค้างการซื้ออยู่ 280,000 ตัน โดยขอให้เจรจากับจีนเพื่อให้ซื้อข้าวครบตามที่ได้ตกลงไว้โดยเร็วที่สุด ถ้าเป็นไปได้ช่วงเวลานี้อยากขอให้จีนช่วยซื้อข้าวหอมมะลิเพิ่มเติม เพราะราคาข้าวหอมมะลิของไทยสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก โดยก่อนหน้านี้ที่เซ็นสัญญากับจีนไว้ 20,000 ตัน ได้มีการส่งมอบเรียบร้อยแล้ว