SCC เผยรัฐสั่งปิดไซต์งานก่อสร้าง กทม.และปริมณฑล 30 วันเพื่อควบคุมโควิด-19 กระทบตลาดซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างแล้ว 20% เป็นเหตุให้ดีมานด์ชะลอตัวลง ขณะที่ธุรกิจแพกเกจจิ้งและเคมีภัณฑ์ยังมีดีมานด์อยู่ พร้อมตั้งงบลงทุนปีนี้ 8-9 หมื่นล้านลุยโครงการปิโตรเคมีเวียดนามเป็นหลัก
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผย
ว่า ตามที่รัฐได้มีคำสั่งปิดไซต์งานก่อสร้างในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นเวลา 30 วันเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 นั้นได้ส่งผลกระทบต่อตลาดซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างราว 20% โดยมาตรการปิดเมืองของรัฐทำให้ตลาดมีความต้องการใช้ซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม ทางผู้ประกอบการโครงการได้มีการเจรจากับรัฐเพื่อขอให้เปิดดำเนินการก่อสร้างบางโครงการที่ยืนยันควบคุมโควิด-19 ได้
ขณะที่ความต้องการผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์และแพกเกจจิ้งยังไปได้ดี แม้ว่าจะมีมาตรการรัฐออกมา อย่างไรก็ตาม ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ได้ปรับกลยุทธ์ด้วยการกระจายสินค้าไปยังตลาดที่ได้รับผลกระทบน้อยทั้งในและต่างประเทศ และเน้นการขายผ่านช่องทางออนไลน์ SCGHOME.com มากขึ้น
ขณะที่ธุรกิจแพกเกจจิ้งยังคงดำเนินงานตามแผนสร้างการเติบโตต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์การกระจายฐานลูกค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ เพิ่มพอร์ตบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลาย การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม กระบวนการทำงาน และโมเดลธุรกิจ การบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ การขยายกำลังการผลิต และ Merger & Partnership (M&P) อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ Duy Tan Plastics Manufacturing Corporation (Duy Tan) เพื่อขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูปในเวียดนาม และอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าลงทุนใน 2 บริษัท ซึ่งคาดว่าจะสำเร็จภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ได้แก่ Intan Group เพื่อขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษในอินโดนีเซีย และ Deltalab, S.L. ในประเทศสเปน เพื่อเสริมศักยภาพของธุรกิจด้านวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ตอบสนองเมกะเทรนด์การดูแลรักษาสุขภาพ
“สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกมีความไม่แน่นอนสูงมาก โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนที่เผชิญกับเชื้อกลายพันธุ์เดลตา จนทำให้มีการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น หลายประเทศจึงบังคับใช้มาตรการคุมเข้มอีกครั้ง ถ้าสถานการณ์โควิดลากยาวต่อเนื่องไปไตรมาส 4/2564 จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีหลังได้”
ส่วนแนวโน้มครึ่งปีหลังยอมรับว่าประเมินยาก ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากล็อกดาวน์ก็ยังได้รับผลกระทบต่อเนื่องเพราะความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง ขณะที่ความต้องการธุรกิจเคมีภัณฑ์และแพกเกจจิ้งยังไปได้ เพราะการบริโภคในพื้นที่ยังมีอยู่ มีการส่งของ การขนส่งกระทบไม่มาก
นายรุ่งโรจน์กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทวางงบลงทุนที่ 80,000-90,000 ล้านบาท เงินลงทุนส่วนใหญ่ใช้ในการก่อสร้างโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม รวมถึงแผนการลงทุนในโครงการปิโตรเคมีครบวงจรแห่งที่ 2 (CAP2) ในประเทศอินโดนีเซีย และธุรกิจแพกเกจจิ้ง โดยบริษัทมีเงินสดในมือ 9 หมื่นล้านบาท
โดยโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม ขณะนี้การก่อสร้างโครงการคืบหน้าไป 83% คาดเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ครึ่งแรกปี 2566 ทำให้บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% ในอีก 3 ปีข้างหน้า จากปัจจุบัน 44%
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติให้บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SCC ถือหุ้นทั้งหมดเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน PT. Chandra Asri Petrochemical Tbk (CAP) ประเทศอินโดนีเซีย เป็นจำนวนเงิน 434 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 14,260 ล้านบาท) เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นใน CAP ที่ร้อยละ 30.57 โดยจะนำไปลงทุนในโครงการ Petrochemical Complex แห่งที่ 2 (CAP2) ทั้งนี้ บริษัทเล็งเห็นว่าการลงทุนใน CAP เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ เพื่อขยายธุรกิจปิโตรเคมีไปยังประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีตลาดสินค้าปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนและมีอัตราการเติบโตสูง
นายรุ่งโรจน์กล่าวถึงผลประกอบการบริษัทในไตรมาสที่ 2 /2564 ว่า บริษัทมีรายได้จากการขาย 133,555 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39 %จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากราคาขายสินค้าเคมีภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ตามการปรับตัวของราคาน้ำมันโลก และเพิ่มขึ้น 9% จากไตรมาสก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ โดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 17,136 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่เพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสก่อน จากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้น
สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2564 บริษัทมีรายได้จากการขาย 255,621 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 32,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 96% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ในอัตรา 8.5 บาทต่อหุ้น เป็นเงิน 10,200 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม 2564 กำหนดผู้ที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล (XD) ในวันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม 2564 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม 2564