“จุรินทร์” ยังไม่คุมราคา “ฟ้าทะลายโจร” เกรงเป็นดาบสองคม กลัวคนเลิกปลูก เลิกผลิต ทำสินค้าหายไปจากตลาด ต้องดูให้รอบคอบ ยันพวกค้ากำไรเกินควรจัดการแน่ไม่เลี้ยงไว้ งัดกฎหมายฟัน คุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ ใครเจอร้อง 1569 และที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัด ย้ำสินค้าอุปโภคบริโภคไม่มีปัญหาขาดแคลน
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีการควบคุมราคายาฟ้าทะลายโจรว่า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงสาธารณสุขได้จับมือกันติดตามอย่างใกล้ชิด และที่ยังไม่ควบคุมในเบื้องต้นเพราะต้องการส่งเสริมให้มีการผลิตเยอะๆ ให้เพียงพอต่อความต้องการก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าเริ่มจากการไปคุมราคาสุดท้ายจะกลายเป็นดาบสองคม แทนที่จะส่งเสริมให้ผลิตเยอะ ถ้าเกษตรกรเห็นว่าไม่คุ้มหรือผู้ประกอบการเห็นว่าไม่คุ้มจะหยุดผลิต สุดท้ายประชาชนจะไม่มียาใช้ เรื่องนี้ต้องดูให้รอบคอบว่าความพอดีอยู่ตรงไหน และขอให้มั่นใจว่ากระทรวงพาณิชย์ติดตามสถานการณ์โดยใกล้ชิด
ส่วนกรณีมีผู้ที่เอาไปขายเป็นยา และไม่มีทะเบียนยา ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข จะดำเนินการเพราะเป็นหน้าที่โดยตรง ส่วนเรื่องการทำให้เกิดความปั่นป่วนทางราคา เรื่องนี้ได้มอบให้กรมการค้าภายในติดตามใกล้ชิด หากมีการค้ากำไรเกินควร ขายเกินราคาสมควร ทำให้เกิดความปั่นป่วนทางราคา ก็มีกฎหมายควบคุมอยู่แล้ว ตามมาตรา 29 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ซึ่งมีโทษจำคุก 7 ปี ปรับ 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยเฉพาะหากมีพ่อค้าคนกลางนำไปโก่งราคา ทำให้เกิดความปั่นป่วน ถ้ามีเบาะแส สามารถร้องหรือแจ้งมาที่สายด่วน 1569 หรือสำนักงานพาณิชย์ทุกจังหวัด จะส่งเจ้าหน้าที่ดำเนินการ
นายจุรินทร์กล่าวว่า สำหรับเรื่องของราคาสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในและสำนักปลัดกระทรวงพาณิชย์กำชับให้พาณิชย์จังหวัดดูแลราคาสินค้าอย่างใกล้ชิด ซึ่งจากการตรวจสอบในเชิงปริมาณยังไม่กระทบ เพราะได้ประสานกับกลุ่มผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคตลอด และอธิบดีกรมการค้าภายในที่เป็นตัวจักรสำคัญได้รายงานตลอดว่าไม่มีปัญหา เพียงแต่อย่าตื่นตระหนก เพราะขณะนี้ประชาชนได้เข้าใจสถานการณ์มาโดยลำดับ เหตุการณ์นี้ยังไม่เกิดขึ้น ถือว่าสินค้าอุปโภคบริโภคยังเพียงพอ ยกเว้นสถานการณ์จะเปลี่ยนไปมาก ซึ่งยังคาดการณ์ไม่ได้ แต่ผู้ผลิตก็ติดตามสถานการณ์เช่นกัน และคอยรายงานกระทรวงพาณิชย์อยู่เป็นระยะว่าสามารถดูแลประชาชนได้และมีสินค้าคอยเติมเต็มในชั้นวางต่อเนื่อง
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์จะช่วยดูภาคการผลิตให้เดินหน้า ซึ่งได้รายงานในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วว่าถ้าหน่วยการผลิตตรงไหนติดโควิด-19 แล้ว ศบค.ให้ปิดการผลิตนั้น ก็ขอให้เป็นการทำทีละส่วน หรือปิดเป็นหน่วย แทนการปิดทั้งโรงงาน เพราะบางโรงงานมี 10 หน่วย ถ้าติดหน่วยเดียว ที่เหลือไม่มีปัญหาก็อย่าไปปิด ไม่เช่นนั้นจะทำให้ของขาด กระทบทั้งการบริโภคในประเทศและกระทบการส่งออกด้วย ซึ่งเป็นห่วงตัวเลขเดือน ก.ค. 2564 มาก เพราะมีโรงงานที่ผลิตสินค้าส่งออกปิดไปจำนวนหนึ่ง