สายการบินสกู๊ตขยายฝูงบิน สั่งเครื่องบินใหม่รุ่นแอร์บัส A321 Neo จำนวน 16 ลำ ประเดิมเที่ยวบินแรก “สิงคโปร์-สุวรรณภูมิ” 28 มิ.ย.ปักหมุดไทย มั่นใจโอกาสธุรกิจการบินฟื้นมากสุดในภูมิภาค พร้อมลงทุนระบบไอที ปรับบริการแบบ New Normal
นายแคมป์เบล วิลสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการบินสกู๊ต (Scoot) ซึ่งเป็นสายการบินราคาประหยัดในกลุ่มธุรกิจสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ เปิดเผยว่า จากการที่สายการบินสกู๊ตได้มีการจัดหาเครื่องรุ่นแอร์บัส A321neo จำนวน 16 ลำ เพื่อขยายฝูงบิน โดยสั่งซื้อจำนวน 6 ลำ และจัดหาภายใต้สัญญาเช่าอีก 10 ลำ ซึ่งได้รับมอบแล้วในช่วงปลายเดือน พ.ค. 2564 จำนวน 3 ลำ (ผ่านการเช่าแบบลีสซิ่งจาก BOC Aviation) ส่วนที่เหลือจะทยอยส่งมอบแล้วเสร็จภายในปี 2567
โดยในวันที่ 28 มิ.ย. 2564 สายการบินสกู๊ตจะทำการบินด้วยเครื่องรุ่นแอร์บัส A321neo ลำใหม่ เที่ยวบินแรกมายังประเทศไทย ด้วยเที่ยวบินที่ TR610 จากสนามบินชางงี สิงคโปร์ สู่สนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพฯ และในเดือน ส.ค. 2564 จะเริ่มให้บริการด้วยเครื่องบินแอร์บัส A321neo ในเส้นทางบินสิงคโปร์-เซบู (ฟิลิปปินส์) และสิงคโปร์-โฮจิมินห์ (เวียดนาม) ซึ่งเครื่องบิน A321neo ลำใหม่สามารถรองรับผู้โดยสาร 236 ที่นั่ง ให้บริการในชั้นประหยัดเท่านั้น กับผังที่นั่งแบบ 3-3
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2020/2021 ที่ผ่านมาสกู๊ตได้ปลดประจำการเครื่องบิน A320ceo จำนวน 5 ลำ ตามแผนการปรับปรุงฝูงบินปัจจุบัน โดยปัจจุบันมีฝูงบินประกอบด้วย เครื่องบินแบบมีช่องทางเดินเดียว 29 ลำ ได้แก่ A320ceo 21 ลำ A320neo 5 ลำ และ A321neo 3 ลำ นอกจากนี้ ยังมี A320neo 28 ลำ และ A321neo อีก 13 ลำ ที่กำลังรอการส่งมอบ ส่วนเครื่องบินแบบลำตัวกว้างของสกู๊ตมีจำนวน 20 ลำ เป็นเครื่องบินรุ่นโบอิ้ง 787 ทั้งหมด และกำลังรอการส่งมอบเพิ่มอีก 7 ลำ โดยอายุเฉลี่ยของฝูงบินของสกู๊ตในขณะนี้อยู่ที่ 5 ปี 10 เดือน
เครื่องบินตระกูล A321neo เป็นการนำเทคโนโลยีล่าสุดทั้งเครื่องยนต์รุ่นใหม่และอุปกรณ์ปลายปีกแบบชาร์กเลตส์ (Sharklets) มารวมเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้ช่วยลดอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้ถึง 20% มี จุดเด่นเครื่องบิน มีพิสัยการบินสูงสุดถึง 2,620 ไมล์ทะเล หรือ 4,852 กิโลเมตร ซึ่งมากกว่าเครื่องบินรุ่น A320neo ประมาณ 270 ไมล์ทะเล ทำให้สกู๊ตสามารถให้บริการในเส้นทางบินระยะสั้นถึงระยะกลางได้ ด้วยเวลาบินสูงสุดถึง 6 ชั่วโมง ซึ่งเทียบกับเครื่องบินรุ่นก่อนอย่าง A320 ที่มีรอบการบินอยู่ที่ 4-5 ชั่วโมง ทำให้สามารถรองรับแผนการเพิ่มเที่ยวบินในเส้นทางบินใหม่ได้มากขึ้นในอนาคต
การที่เครื่องบินแอร์บัส A321neo สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 236 ที่นั่ง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากรุ่น A320neo ถึง 50 ที่นั่ง และยังประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่า ทำให้สกู๊ตสามารถบริหารความคุ้มทุนและควบคุมต้นทุนต่อหน่วยได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้สายการบินสามารถบริหารจัดการเครื่องบินให้สอดคล้องกับเส้นทางและความต้องการได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นอีกด้วย
เช่น สามารถเลือกใช้เครื่องบินแอร์บัส A321neo แทนรุ่น A320 สำหรับเที่ยวบินที่ได้รับความนิยม หรือในช่วงวันที่มีดีมานด์สูง หรือช่วงเทศกาล ขณะเดียวกันก็สามารถนำมาให้บริการแทนเครื่องบินโบอิ้ง 787 ที่มีขนาดใหญ่กว่าของสกู๊ตในช่วงที่ความต้องการในการเดินทางลดลง นอกจากนี้ สกู๊ตยังสามารถเพิ่มความถี่ของเที่ยวบินได้มากขึ้น โดยการนำเครื่องบินแอร์บัส A321neo มาใช้เสริมในบางเส้นทางของโบอิ้ง 787 ซึ่งจะช่วยตอบรับความต้องการและอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารที่ต้องการเดินทางมากขึ้น
การขยายฝูงบินด้วยเครื่องบินแอร์บัส A321neo ถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของสกู๊ตในการยกระดับประสบการณ์การเดินทางที่สะดวกสบายให้แก่ผู้โดยสารผ่านฟังก์ชันของเครื่องบินลำใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น เก้าอี้โดยสารเบาะหนังสีดำพรีเมียม ช่องเก็บสัมภาระเหนือศีรษะขนาดใหญ่ เทคโนโลยีแสงไฟแบบ Ambient Light ที่สามารถช่วยลดอาการเจ็ตแล็ก รวมถึงคุณภาพอากาศในห้องโดยสาร และประสิทธิภาพในการลดเสียงรบกวนจากเครื่องยนต์ที่ดียิ่งขึ้น
และในระยะยาว เครื่องบินแอร์บัส A321neo จะช่วยให้สกู๊ตสามารถเติบโตอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้มากขึ้นด้วยปลายปีก Sharklets และเครื่องยนต์อากาศยานแพรตต์ แอนด์ วิตนีย์ รุ่น PW1100G-JM ที่ช่วยประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง เมื่อเทียบกับบันทึกก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 แล้ว
นายแคมป์เบลกล่าวว่า ปัจจุบันสกู๊ตให้บริการในเส้นทางสิงคโปร์–กรุงเทพฯ (สนามบินสุวรรณภูมิ) จำนวน 11 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สกู๊ตกำลังเตรียมการเพื่อที่จะกลับมาให้บริการอีกครั้งด้วยความปลอดภัยและมั่นใจ โดยวางแผนที่จะกลับมาให้บริการในเส้นทาง สิงคโปร์-เชียงใหม่ สิงคโปร์-หาดใหญ่ สิงคโปร์-กระบี่ และ สิงคโปร์-กรุงเทพฯ-โตเกียว เมื่อสถานการณ์เอื้ออำนวย
“ประเทศไทยนั้นถือเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญ เป็นตลาดที่แข็งแกร่งของสกู๊ตมาโดยตลอด ทั้งที่ผ่านมาและในอนาคต โดยจะมีการวางเครือข่ายการบินจากประเทศไทย สู่สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และอื่นๆ และมองว่าประเทศไทยมีโอกาสการเติบโตอย่างมากทั้งตลาด inbound และ outbound คิดว่ามีอนาคตที่น่าตื่นเต้นของสกู๊ตรอเราอยู่ที่นี่ ดังนั้น ประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่สกู๊ตจะให้ความสำคัญ หลังจากจบโควิด-19”
ส่วน “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” ที่รัฐบาลไทยจะเปิดในวันที่ 1 ก.ค. 2564 นั้น สายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ซึ่งเป็นเครือข่ายการบินเดียวกับสกู๊ตได้ทำการบินอยู่แล้ว ส่วนสกู๊ตยังไม่ได้ทำการบินเข้าภูเก็ตในช่วงนี้
นอกจากนี้ สกู๊ตได้เตรียมความพร้อมรองรับการฟื้นตัวของธุรกิจการบิน โดยได้ลงทุนเทคโนโลยีอย่างมากเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าด้วยการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของบริการ เพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจและเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานที่จะให้การบริการเที่ยวบินที่ลดการสัมผัสหรือเกือบไร้สัมผัสผ่านช่องต่างๆ เช่น ช่องทางการเช็กอินออนไลน์ทั้งผ่านเว็บไซต์ แอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน หรือการเช็กอินกับแชตบอต รวมถึงคีออสก์ที่ไม่ต้องสัมผัสหน้าจอแทนการติดต่อเคาน์เตอร์ และยังมีพอร์ทัล ScootHub ที่สามารถสั่งอาหารและเครื่องดื่มได้ หรือสินค้าปลอดภาษี นอกจากนี้ยังสามารถปรับเปลี่ยนขั้นตอนการบริการลูกค้าบางอย่างไปเป็นอัตโนมัติ เช่น การคืนเงิน โดยไม่ต้องติดต่อคอลเซ็นเตอร์ หรือติดตามสัมภาระที่หายได้ทางออนไลน์แทนติดต่อเจ้าหน้าที่
มีการลงทุนระบบการจัดการรายได้พร้อมเครื่องมือกำหนดราคาแบบใหม่ มีการใช้เทคโนโลยี AI และ Machine learning พร้อมระบบวางแผนการบินแบบใหม่เพื่อให้แน่ใจว่าเส้นทางของเครื่องบินของเรามีประสิทธิภาพสูงสุด ใช้เชื้อเพลิงน้อยลงและปล่อยมลพิษน้อยลง และระบบจัดการพนักงานแบบใหม่เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการดำเนินงานดีขึ้น และมีการปรับใช้แชตบอตให้มากขึ้น ทั้งสำหรับลูกค้าและการสื่อสารภายใน
นายแคมป์เบลกล่าวว่า ปัจจุบันอัตราส่วนบรรทุกผู้โดยสาร (Load factor) โดยเฉลี่ย 12-15% ซึ่งค่อนข้างน้อยเทียบกับภาวะปกติ แต่รวมคาร์โก้ ซึ่งที่ผ่านมามีการปรับเครื่องบิน 2 ลำ นำที่นั่งออกเพื่อใช้ในการขนส่งสินค้า รวมถึงวัคซีน ซึ่งสถานการณ์ฟื้นตัวมีแนวโน้มกลับมาอย่างช้าๆ ซึ่งสายการบินราคาประหยัดยังคงตอบโจทย์ของประชากรในภูมิภาคเอเชีย
สกู๊ตได้เตรียมความพร้อมที่จะกลับมาให้บริการอีกครั้งภายใต้มาตรการที่เข้มงวด มีการตรวจหาเชื้อโควิดให้แก่ลูกเรือเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้โดยสาร และเตรียมการหลายอย่างเพื่อให้สายการบินพร้อมสำหรับความปกติใหม่นี้ โดยลูกเรือได้รับวัคซีนครบ 100% และยังออกประกันเดินทางที่ให้ความคุ้มครองโควิด-19 ในพื้นที่ที่สามารถทำได้ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยด้านสุขภาพของผู้โดยสาร
โดยจะทยอยเปิดเส้นทางที่เคยทำการบิน ซึ่งเปิดแล้ว 26 เมือง จาก 48 เมือง นอกจากนี้ ทำการศึกษาการเปิดเส้นทางใหม่ โดยไม่จำกัดว่าจะเริ่มต้นจากสิงคโปร์ ซึ่งจะมาจาก hub อื่นด้วย โดยมั่นใจมากว่า กลับมาอย่างแน่นอน และความต้องการการบินจะมากกว่าช่วงก่อนหน้า ได้วางแผนบินทุกเส้นทาง กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ กระบี่ หรือต่างประเทศ เช่น โตเกียว แต่จะกลับมาให้บริการต่างๆ ได้เมื่อไหร่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และกฎระเบียบของทางการด้วย