“จุรินทร์”ลงพื้นที่แหลมฉบัง ติดตามการแก้ไขปัญหาขาดแคลนตู้สินค้าส่งออก หลังที่ผ่านมา ได้มีการไฟเขียวให้เรือขนาดใหญ่ 400 เมตรเข้าเทียบท่าได้แล้ว เผยมีเรือเข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมแล้ว 7 ลำ ช่วยให้มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นจากการมีตู้สินค้า 35,000 ล้านบาท
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมเรือสินค้า MSC Amsterdam เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนตู้สินค้า ณ ท่าเรือแหลมฉบัง อําเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ว่า สถานการณ์การส่งออกของไทย โดยเฉพาะในปี 2564 ตัวขับเคลื่อนสำคัญ คือ การส่งออกและต้นปีนี้การส่งออกก็เป็นบวก เดือนมี.ค.2564 เป็นบวกถึง 8.47% และเดือนเม.ย.2564 บวกถึง 13.09% และยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้น การส่งออกจึงเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ การแก้ปัญหาการส่งออกจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ
โดยการส่งออกประกอบด้วยการขนสินค้าทางบก ทางอากาศและทางเรือ การขนส่งสินค้าทางเรือมีประเด็นปัญหาคือตู้คอนเทนเนอร์ที่บรรจุสินค้าเพื่อลงเรือส่งออกขาดแคลน เนื่องจากก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 มีการส่งสินค้าไปสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปจำนวนมาก แต่ส่งสินค้ากลับมาน้อย ตู้ไปค้างอยู่ที่สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป แต่จีนมีศักยภาพสามารถนำตู้ไปใช้ในการส่งออกได้มาก ส่วนการแก้ปัญหา ได้ประชุม กรอ.พาณิชย์ การท่าเรือร่วมกับภาคเอกชนมาโดยตลอด ได้ข้อสรุปว่าจากนี้ไป จะแก้ปัญหาโดยจะเปิดโอกาสให้เรือขนาดใหญ่เข้ามาแหลมฉบังให้เรือขนาด 300-400 เมตรเข้ามาเทียบท่าได้ จะช่วยให้สามารถไปปลายทางได้เลย ช่วยลดต้นทุน สามารถขนตู้เปล่าและตู้ที่มีสินค้าเข้ามา จะมีตู้เปล่าที่ส่งสินค้าออกได้มากขึ้น และได้เสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้การท่าเรือแก้ประกาศใหม่ อนุญาตให้เรือ 300-400 เมตรเข้าเทียบท่าได้
ทั้งนี้ หลังจากนั้น มีเรือเข้ามาแล้วหลายลำ ตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ.2564 และ 17 เม.ย.2564 , 20 เม.ย.2564 และวันที่ 5 พ.ค.2564 เป็นลำใหญ่ขนาด 399 เมตร สามารถบรรทุกตู้เข้ามาได้ประมาณ 12,000 ตู้ และวันนี้เรือสินค้า MSC Amsterdam ขนาด 399 เมตร บรรทุกตู้เปล่าเข้ามาได้ประมาณ 4,000 ตู้ สามารถบรรจุสินค้าลงไปได้ประมาณ 80,000 ตัน คิดเป็นมูลค่าสินค้าที่ส่งออกประมาณ 6,000 ล้านบาท และยังมีอีกสองลำที่จะเข้ามาวันที่ 2 มิ.ย.2564 ขนาด 395 เมตร และ 19 มิ.ย.2564 ขนาด 398 เมตร รวมแล้วทั้งหมดจะเป็น 7 ลำ สามารถบรรทุกตู้เปล่าเข้ามาประมาณ 23,000 ตู้ สามารถขนสินค้าออกไปได้ประมาณ 458,000 ตัน รวมมูลค่าให้การส่งออกเพิ่มขึ้นจากการได้ตู้เปล่าประมาณ 35,000 ล้านบาท คือ ผลที่เป็นรูปธรรมจากการร่วมกันแก้ปัญหาระหว่างกระทรวงพาณิชย์ ภาคเอกชนและกรมเจ้าท่า
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตู้สินค้าเริ่มเข้าสู่สภาวะสมดุล ความต้องการใช้ตู้เปล่าเดือนหนึ่งประมาณ 128,000 ตู้ เรามีตู้ประมาณ 130,000 ตู้ เริ่มเข้าสู่สภาวะสมดุลแล้ว แต่ต้องติดตามสถานการณ์ และกรมเจ้าท่าต้องอำนวยความสะดวกโดยเร็วที่สุด เปิดโอกาสให้เรือขนาดใหญ่เอาตู้เปล่าเข้ามา และเราส่งสินค้าออกไปได้มากขึ้น จะช่วยให้ตัวเลขส่งออกของเราเป็นบวกได้ต่อ และจะเป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ต่อไป
“ผมเชื่อว่าศักยภาพการส่งออกสินค้าไทยไปต่างประเทศยังมีเพิ่มขึ้น ภาคเอกชนสายการเดินเรือต้องเข้ามาช่วยในการจัดหาตู้และกรมเจ้าท่าต้องอนุญาตโดยเร็วในการดำเนินการ และได้มีประกาศใหม่ให้ใบอนุญาตสำหรับเรือขนตู้ขนาด 300-400 เมตรภายในเวลา 2 ปี แต่ตนจะไปเจรจาว่าทำไมไม่เป็นตลอดไปเพราะการส่งออกยังเป็นกลไกขับเคลื่อนสำคัญ หากจำเป็นต้องปรับปรุงร่องน้ำหรือปรับปรุงอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ก็จะต้องลงทุนเพิ่มเติมเพื่อแลกกับตัวเลขการส่งออกที่นำรายได้เข้าประเทศตนเชื่อว่าคุ้มแน่นอน”นายจุรินทร์กล่าว