ปตท.สผ.เผยยังรักษาการผลิตปิโตรเลียมต่อเนื่องในเมียนมาตามสัญญาผูกพันระหว่างรัฐบาล พร้อมให้ความปลอดภัยพนักงานและยึดหลักสิทธิมนุษยชน ส่วนโครงการ Gas to Power จะตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายในปี 65 มั่นใจอีวีไม่กระทบธุรกิจ
นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)(PTTEP) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 วานนี้ (8 เม.ย.) ว่า โครงการลงทุนในเมียนมา ทาง ปตท.สผ.ได้ดำเนินธุรกิจในเมียนมามานานประมาณ 30 ปีเพื่อสร้างความมั่นคงพลังงาน ควบคู่สร้างคุณค่ายั่งยืนให้แก่ทุกฝ่าย โดยมีการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านปิโตรเลียมให้แก่พนักงานบริษัทชาวเมียนมา และมีการจ้างงานต่อเนื่องเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ปัจจุบันบริษัทฯ ยังรักษากำลังการผลิตปิโตรเลียมต่อเนื่องตามหน้าที่และสัญญาที่ผูกพันระหว่างรัฐบาล โดย ปตท.สผ.ให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยของพนักงาน ความมั่นคง และยึดถือหลักสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติเป็นสำคัญ ส่วนโครงการแผนผลิตไฟฟ้าตามโครงการ Gas to Power ในขณะนี้ก็อยู่ระหว่างทำแผนงานโดยรวม โดยตามกำหนดการคือจะมีการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในปี 2565
ในปี 2563 เกิดการระบาดของโควิด-19 ส่งผลต่อบริษัท เพราะราคาน้ำมันผันผวนอย่างหนัก การใช้พลังงานลดลง โดยราคาน้ำมันเคยสูงถึง 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ก็ปรับลดลงอย่างรวดเร็วเหลือประมาณ 20 เหรียญสหรัฐ/บาร์แรล ก่อนทยอยปรับขึ้นทำให้ผลการดำเนินงานปี 2563 พลาดเป้า โดยมียอดขายปิโตรเลียมเหลือเพียง 3.5 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ/วันจากเป้าหมายเดิมที่วางไว้ 3.9 แสนบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ/วัน เพราะปริมาณการเรียกรับก๊าซจากโครงการในอ่าวไทยลดลง
ด้านนายไกรฤทธิ์ อุชุกานนท์ชัย ประธานกรรมการ ปตท.สผ. กล่าวว่า การเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยียานยนต์ที่ใช้น้ำมันไปสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี ปตท.มั่นใจว่าจะไม่กระทบต่อธุรกิจของบริษัท เนื่องจากผลผลิตหลักของ ปตท.สผ.คือก๊าซธรรมชาติ ไม่ใช่น้ำมัน ในขณะที่อีวีจะมีการใช้มากขึ้นใน 10-15 ปีข้างหน้า เช่นในไทยวางแผนวางเป้าหมายจำหน่ายอีวีในประเทศในปี 2568 รวม 1.05 ล้านคัน โดยที่ก๊าซฯ เป็นเชื้อเพลิงหลักในช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี ทำให้ ปตท.สผ.มีนโยบายการลงทุนเน้นการผลิตก๊าซฯ เพิ่มมากขึ้น