เปิดผลสำรวจ FTI Poll พบผู้บริหาร ส.อ.ท.ส่วนใหญ่ยังกังวลต่อการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 ที่ยังมีความล่าช้าและมีจำนวนไม่เพียงพอ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยค่อนข้างมาก เสนอให้รัฐเร่งจัดซื้อและอนุญาตนำเข้าวัคซีนให้เพียงพอ รวมทั้งการเปิดให้ รพ.เอกชนสามารถนำเข้าวัคซีนที่ได้รับการอนุญาตจาก อย.มาบริการได้ พร้อมขอให้เสริมเอกชนสั่งซื้อวัคซีนที่ขึ้นทะเบียนต่อ อย.มาฉีดให้แก่แรงงาน เช่น การนำค่าวัคซีนไปหักค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า
นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 4 ในเดือนมีนาคม 2564 ภายใต้หัวข้อ “ความเห็นต่อการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 และการฟื้นฟูอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวจากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 191 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 74 สภาอุตสาหกรรมจังหวัดพบว่า 79.6% มีความกังวลต่อการบริหารจัดการวัคซีนโควิด-19 ที่ยังล่าช้าและไม่เพียงพอต่อคามต้องการของประชาชนมากสุด โดยมองว่าหากมีการฉีดวัคซีนล่าช้าจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระดับมากคิดเป็น 76.4% ระดับกลาง 22% และระดับน้อย 1.6% รองลงมาเป็นความกังวลต่อการช่วยเหลือธุรกิจเกี่ยวข้องกับท่องเที่ยว 50.8% ส่วนอีก 45.5% เป็นเรื่องปากท้องชาวบ้าน
เมื่อถามถึงความสำคัญของแผนการบริหารจัดการวัคซินโควิด-19 ของภาครัฐว่าควรเร่งดำเนินการในเรื่องใด พบว่า 3 อันดับแรก ผู้บริหาร ส.อ.ท. ให้ความสำคัญเรื่องการเร่งรัดการจัดซื้อวัคซีนและอนุญาตนำเข้าวัคซีนมาใช้ในประเทศให้เพียงพอ คิดเป็น 77% รองลงมาเป็นเรื่องความร่วมมือกับภาคเอกชนในการบริหารและกระจายการฉีดวัคซีน 68.6% และความชัดเจนของกลุ่มเป้าหมายและระยะเวลาการฉีดวัคซีน 57.6%และผู้บริหาร ส.อ.ท. ยังมีความเห็นว่า การเปิดให้โรงพยาบาลเอกชนสามารถนำเข้าวัคซีนที่ได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มาให้บริการได้ จะเป็นแนวทางที่ช่วยให้ภาครัฐสามารถกระจายวัคซีนโควิด-19 ให้แก่ประชาชนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมีผลสำรวจคิดเป็น 81.2% รองลงมาเป็นการเปิดให้สถานประกอบการสามารถสั่งซื้อวัคซีนจากหน่วยงานที่ได้รับการอนุญาตจาก อย. เช่น องค์การเภสัชกรรม 62.3% และการเร่งขึ้นทะเบียนวัคซีนให้มากชนิดขึ้น เพื่อเพิ่มทางเลือกในการบริหารจัดการ 61.8%
สำหรับมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อส่งเสริมให้เอกชนมีการสั่งซื้อวัคซีนโควิด-19 ที่ขึ้นทะเบียนต่อ อย.มาฉีดให้แก่แรงงานในภาคอุตสาหกรรม พบว่า 3 อันดับแรก ผู้บริหาร ส.อ.ท.เห็นว่า ควรออกมาตรการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถนำค่าวัคซีนไปหักค่าใช้จ่าย 2 เท่า คิดเป็น 63.4% รองลงมาเป็นการสนับสนุนค่าใช้จ่ายครึ่งหนึ่งให้แก่สถานประกอบการ 62.3% และการสนับสนุนทีมแพทย์ในการฉีดวัคซีน ณ สถานประกอบการ 48.2%
นอกจากนี้ ปัจจัยที่จะมีผลต่อภาคการท่องเที่ยวของไทยในช่วงครึ่งปีแรก 3 อันดับแรก ผู้บริหาร ส.อ.ท. ยังคงให้ความสำคัญไปที่เรื่องจำนวนวัคซีนที่เพียงพอและความรวดเร็วในการฉีดวัคซีนให้ประชากรในประเทศ (ไม่น้อยกว่า 50%) คิดเป็น 78% รองลงมาเป็นเรื่องกฎระเบียบในการเดินทางเข้าออกประเทศ และความมั่นใจของชุมชนในแหล่งท่องเที่ยว ส่วนมาตรการช่วยเหลืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวพบว่าผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ต้องการให้ภาครัฐสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้แรงงานในสถานประกอบการเข้าถึงวัคซีนโควิด คิดเป็น 72.8% รองลงมายังคงต้องการมาตรการทางการเงิน เช่น การพักชำระหนี้, Asset Warehousing ฯลฯ 68.6% และการลดหย่อนภาษี/ขยายระยะเวลานำผลขาดทุนสะสมมาใช้ คิดเป็น 61.3%