สยามแก๊สฯ พร้อมเดินหน้าสร้างคลังแอลเอ็นจี ที่หนองแฟบ จ.ระยอง มูลค่า 6,000-7,000 ล้านบาท โดยเตรียมรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 2 เพื่อยื่นขออีไอเอ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดคลี่คลายดีขึ้น และเตรียมยื่นขอไลเซนส์เพื่อนำเข้าแอลเอ็นจีราว 1 ล้านตัน ป้อนลูกค้าอุตสาหกรรม แย้มบริษัทฯ จับมือกับ ปตท.เพื่อศึกษาตลาดและโลจิสติกส์ทั้งแอลเอ็นจี และแอลพีจี เล็งทำตลาดในจีนและภูมิภาคอาเซียน
นางจินตณา กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามแก๊ส แอนด์ ปิโตรเคมีคัลส์ จำกัด (มหาชน) (SGP) เปิดเผยความคืบหน้าการทำธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) ว่า บริษัทฯ มีแผนจะลงทุนพัฒนาทำคลังบรรจุก๊าซธรรมชาติเหล ว(LNG) ที่บ้านหนองแฟบ ต.มาบตาพุด จ.ระยอง บนพื้นที่ 400 ไร่ โดยบริษัทจะสร้างคลังเก็บแอลเอ็นจีขนาด 8 หมื่นตัน จำนวน 2 แท็งก์ ใช้เงินลงทุนรวม 6,000-7,000 ล้านบาท เตรียมทำรับฟังความคิดเป็นครั้งที่ 2 เพื่อทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) คาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างคลังแอลเอ็นจีประมาณ 3 ปีหลังได้รับอนุมัติอีไอเอ ที่ผ่านมาโครงการดังกล่าวค่อนข้างล่าช้า สืบเนื่องได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจะมีต้นทุนการสร้างคลังไม่สูงมาก เพราะไม่ต้องลงทุนระบบเปลี่ยนสภาพแอลเอ็นจีจากของเหลวเป็นก๊าซฯ และไม่ได้ขนส่งก๊าซฯ ผ่านท่อก๊าซฯ ของ ปตท. แต่จะขนส่งผ่านรถขนส่งแอลเอ็นจีจากคลังฯ ที่บ้านหนองแฟบ ไปยังลูกค้าอุตสาหกรรมที่อยู่นอกเส้นทางแนวท่อก๊าซฯ ซึ่งผลการศึกษาพบว่ามีโรงงานอุตสาหกรรมนอกแนวท่อก๊าซฯ มีความต้องการใช้แอลเอ็นจีจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม การนำเข้าแอลเอ็นจีเพื่อทำตลาดในประเทศไทยนั้น บริษัทฯ อาจจะต้องยื่นขอรับใบอนุญาตการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งขณะนี้บริษัทได้ใบอนุญาตเป็นผู้ค้ามาตรา 7 จากกรมธุรกิจพลังงานแล้ว โดยเบื้องต้นปริมาณการนำเข้าแอลเอ็นจี 1 ล้านตัน/ปี โดยจะยื่นขอใบอนุญาตหลังจากมีความคืบหน้าในการได้รับอีไอเอในการก่อสร้างคลังแอลเอ็นจีแล้ว
เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทฯ ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับก๊าซธรรมชาติเหลว และก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) กับบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมกันศึกษาพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการ Logistics และ Supply chains ของแอลเอ็นจี และแอลพีจีในประเทศ พร้อมแสวงหาโอกาสในการพัฒนาตลาดแอลเอ็นจี และแอลพีจี รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ Propane และ Butane ในต่างประเทศ ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการสนับสนุนธุรกิจเกี่ยวกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์แอลเอ็นจีที่เป็นเชื้อเพลิงสะอาด และมีแนวโน้มความต้องการใช้เพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศจีน และภูมิภาคอาเซียน
นางจินตณากล่าวต่อไปว่า บริษัทฯ ได้จับมือกับ ปตท.เพื่อศึกษาและพัฒนาการจำหน่ายแอลเอ็นจี และแอลพีจีในจีน ซึ่งมีความต้องการก๊าซเพิ่มขึ้น ศึกษาร่วมมือทั้งด้านการตลาด การดำเนินการโลจิสติกส์ร่วมกัน เนื่องจากสยามแก๊สฯ มีธุรกิจคลังเก็บแอลพีจีขนาดในจีน 2 แห่ง ขณะนี้บริษัทได้จัดตั้งบริษัท สยามแอลเอ็นจี จำกัด เพื่อเตรียมพร้อมในการทำธุรกิจนี้
สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯ มั่นใจยอดใช้ก๊าซแอลพีจีปี 2564 มีปริมาณขายแอลพีจีเติบโต 15% อยู่ที่ 3.73 ล้านตัน จากที่ปี 2563 ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ยอดขายลดลง 15% มาอยู่ที่ 3.25 ล้านตัน แต่ปีนี้คาดการณ์ว่าสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย และหลายประเทศได้ทยอยฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน รวมทั้งรัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้มีความต้องการใช้แอลพีจีเพิ่มขึ้น