ลอรีอัล มุ่งมั่นพลิกโฉมฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม (R&I) ครั้งสำคัญ ด้วยการใช้หลัก ‘วิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งแวดล้อม’ (Green Sciences) ในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นไปตามความตั้งใจของบริษัทที่จะนำเสนอสินค้าที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเคารพต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น โดยภายในปี 2573 ส่วนผสม 95% ของผลิตภัณฑ์ลอรีอัลจะมาจากพืชที่สามารถปลูกทดแทนได้ แหล่งแร่ธาตุที่ใช้แล้วไม่หมดสิ้น หรือกระบวนการผลิตแบบหมุนเวียน ขณะที่การพัฒนาสูตรต่างๆ ทั้ง 100% จะพัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศทางน้ำเป็นสำคัญ
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคมีความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ดีทั้งต่อสุขภาพและปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มสูงขึ้น และการปกป้องโลกเป็นประเด็นที่สำคัญยิ่งในขณะนี้ การปรับเปลี่ยนการทำงานของฝ่าย R&I ของลอรีอัลนั้นมีเป้าหมายที่ท้าทายมาก โดยลอรีอัลจะใช้ธรรมชาติเป็นแรงขับเคลื่อน เพื่อสร้างสรรค์ส่วนประกอบทางเลือก ซึ่งมาจากวัตถุดิบที่สามารถปลูกทดแทนหรือหมุนเวียนได้ เพื่อทดแทนส่วนผสมที่ผลิตหรือมีส่วนประกอบจากปิโตรเลียมซึ่งเป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป
ลอรีอัลจะใช้วิทยาการด้านวิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งแวดล้อมล่าสุด เพื่อให้การผลิตส่วนผสมต่างๆ เป็นไปอย่างยั่งยืน และสกัดสิ่งที่ดีที่สุดจากธรรมชาติด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ในปี 2563 ที่ผ่านมา วัตถุดิบ 80% ของลอรีอัล กรุ๊ป สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ขณะที่วัตถุดิบ 59% เป็นวัตถุดิบที่สามารถผลิตทดแทนหรือหมุนเวียนได้ และ 34% เป็นวัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติ หรือมีต้นกำเนิดจากธรรมชาติ โดยส่วนผสม 29% ที่ใช้ในสูตรต่างๆ ของลอรีอัลนั้น ได้รับการพัฒนาขึ้นตามหลักการของเคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Chemistry)
นิโคลา ฮิโรนิมุส รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารของลอรีอัล กล่าวว่า “ลอรีอัลกำลังก้าวเข้าสู่การพลิกโฉมฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมของบริษัทด้วยวิทยาการวิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งฝ่ายวิจัยและนวัตกรรมถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของบริษัทนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง เราตั้งเป้าไว้ว่าภายในปี 2573 เราจะสามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ความงามที่มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นและปลอดภัย สำหรับผู้บริโภคทั้งหญิงและชายทั่วโลก พร้อมทั้งปกป้องสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป
ด้วยความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ลอรีอัลได้ทุ่มเทและใช้ทรัพยากรด้านวิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ทั้งหมด ซึ่งรวมถึงวิทยาการความก้าวหน้าล่าสุดในด้านวิทยาศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ที่เกี่ยวกับผลผลิตทางการเกษตร รวมทั้งพัฒนาการใหม่ๆ ในด้านเทคโนโลยีชีวภาพ เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์ด้านการพัฒนาสูตรต่างๆ และเครื่องมือในการสร้างแบบจำลอง นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังเดินหน้าการสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์กับมหาวิทยาลัย สตาร์ทอัพ และซัปพลายเออร์วัตถุดิบของบริษัท
บาร์บารา ลาเวอร์นอส ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิจัย นวัตกรรม และเทคโนโลยี กล่าวเสริมว่า “วิทยาศาสตร์เพื่อสิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เราสามารถตั้งเป้าหมายด้านวิทยาศาสตร์และเทคนิคที่ท้าทายได้ หลักการที่อิงตามเศรษฐกิจหมุนเวียนจะทำให้เราสามารถคิดค้นและยกระดับประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ในมาตรฐานใหม่ และค้นพบประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ความงามอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยใส่ใจต่อโลกและไม่ทำให้คุณภาพหรือความปลอดภัยลดลง”
ณ ปัจจุบัน ลอรีอัล มีระบบบริหารจัดการคุณภาพของผลิตภัณฑ์ในแต่ละขั้นตอนที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลกมากกว่า 100 ขั้นตอน ครอบคลุมตั้งแต่ระยะเริ่มต้นคอนเซปต์ของผลิตภัณฑ์ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด มีกระบวนการพัฒนาและทดสอบคุณสมบัติของตัวผลิตภัณฑ์ ให้คงคุณภาพตลอดอายุการใช้งาน โดยผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ในลอรีอัล กรุ๊ป ส่วนใหญ่มีอายุอย่างน้อย 3 ปี นับจากเดือนปีที่ผลิต โดยผลิตภัณฑ์ของลอรีอัลทั่วโลกได้รับการทดสอบและรับรองคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยตลอดระยะเวลาของอายุผลิตภัณฑ์ ยึดหลักความโปร่งใสมากยิ่งขึ้นเพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจและเลือกผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีความรับผิดชอบ
ลอรีอัลยังคงยึดมั่นในหลักความโปร่งใส โดยจะริเริ่มโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงข้อมูล และการสื่อสารกับผู้บริโภคให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ที่สามารถสะท้อนคุณค่าที่ผู้บริโภคยึดมั่น
ลอรีอัลจะรักษาความโปร่งใสตามคำประกาศ โดยการสื่อสารผ่านเว็บไซต์ “Inside Our Products” เพื่อให้ข้อมูลที่ตอบข้อสงสัยของผู้บริโภคเกี่ยวกับส่วนผสมที่ใช้ในสูตรต่างๆ และส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ ซึ่งครอบคลุมส่วนผสมเกือบ 1,000 รายการ เผยแพร่ใน 45 ประเทศ ใน 8 ภาษา และจะมีการความตระหนักรู้ของข้อมูลเพิ่มเติมผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ใน 20 ประเทศ
ข้อมูลความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์จะได้รับการเผยแพร่เพิ่มเติมผ่านทางเว็บไซต์แบรนด์หลักต่างๆ อาทิ ลอรีอัล ปารีส, การ์นิเย่, ลา โรช-โพเซย์, เมย์เบลลีน นิวยอร์ก, เคเรสตาส และ YSL
บริษัทฯ ได้ทำแคมเปญสื่อสารข้อมูลที่ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมจากผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเมื่อเดือนมิถุนายน 2563 ภายใต้โปรแกรม L'Oréal for the Future นำร่องโดยแบรนด์ การ์นิเย่ และในอนาคตทุกแบรนด์ของลอรีอัลจะทยอยทำการสื่อสารข้อมูลดังกล่าวอย่างครอบคลุม พัฒนาความปลอดภัยให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์เป็นหัวใจสำคัญของการทำงานของลอรีอัล