xs
xsm
sm
md
lg

“กัญชง” พืชเศรษฐกิจตัวใหม่ สร้างมูลค่าเพิ่มอาหารไทยสู่ครัวโลก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปฏิเสธไม่ได้ว่า “กัญชา-กัญชง” กำลังเป็นกระแสฟีเวอร์มาแรงแซงโค้งพืชทุกชนิด จุดพลุความสนใจของคนไทยในทุกภาคส่วนเป็นวงกว้าง หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการผลักดันพืชชนิดนี้มาอย่างต่อเนื่องตลอดช่วง 2-3 ปี ล่าสุดปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมาภาครัฐยังมุ่งผลักดัน “กัญชง” ให้เป็น “พืชเศรษฐกิจตัวใหม่” ชูการใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนของต้นจนถึงราก อีกทั้งมีมูลค่าในตลาดโลกในปี 2562 สูงถึง 4,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.4 แสนล้านบาท ยิ่งสร้างความตื่นตัวให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เกษตรกร ตลอดจนมหาวิทยาลัยที่ลุกขึ้นมาจับมือร่วมกันวิจัยพัฒนาต่อยอดนำเป็นสินค้ากันอย่างมากมาย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการผลักดันเชิงพาณิชย์เริ่มมีความชัดเจนคาดการณ์กันว่าจะมีการทยอยออกกฎหมายมาอนุญาตให้ใช้ในการผลิตเครื่องดื่ม อาหาร อาหารเสริม รวมไปถึงเครื่องสำอาง จึงไม่น่าแปลกใจที่เห็นความเคลื่อนไหวของบริษัทไทยน้อยใหญ่ออกมากางโปรเจกต์นำ “กัญชง” เข้ามาในไลน์ธุรกิจใหม่กันอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่ม อาหาร ซอสปรุงรส เครื่องสำอาง ต่างกระโดดเข้าร่วมวงแบบไม่ยอมตกขบวนรถแห่งโอกาสในการสร้างการเติบโตของผลประกอบการในอนาคต


อีกความเคลื่อนไหวเป็นที่จับตามองของทุกคน เมื่อเครือเจริญโภคภัณฑ์ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ผู้นำธุรกิจเกษตรและอาหารแบบครบวงจร ลงนามความร่วมมือทางวิชาการกับ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ สถาบันชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเกษตร และมีความพร้อมในองค์ความรู้ด้านการผลิตพืชกัญชงในวิถีอินทรีย์มาอยู่แล้ว เมื่อมาผนวกกับความเข้มแข็งในด้านการวิจัยสายพันธุ์พืชของเครือซีพี รวมทั้ง Know how และเทคโนโลยีด้านการผลิตอาหารแบบครบวงจร ของซีพีเอฟ ที่จะมาช่วยต่อยอดสู่การแปรรูป สร้างสรรค์นวัตกรรมจากกัญชงตอบโจทย์สุขภาพและความต้องการของผู้บริโภค จนถึงการจำหน่าย ซึ่งจะช่วยให้การใช้ประโยชน์จากกัญชงครบทั้ง Value Chain

สิ่งที่น่าสนใจอีกเรื่อง คือ การผนึกพลังความรู้ความเชี่ยวชาญของสถาบันการศึกษาและภาคเอกชนในครั้งนี้เป็นความร่วมมือที่ร่วมพัฒนา “พืชเศรษฐกิจ” แบบครบวงจร โดยมหาวิทยาลัยรับผิดชอบด้านต้นน้ำ (Upstream) ดูแลสายพันธุ์ จนถึงการเพาะปลูก ขณะที่ ซีพีเอฟ เน้นด้านปลายน้ำ (Downstream) พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด นับเป็นการพลิกโฉมเข้ามาสร้างมูลค่าให้ภาคอุตสาหกรรมเกษตรอาหารของไทย โดย ม.แม่โจ้ไม่เพียงมีความรู้และประสบการณ์ในการจัดการปลูกแบบเกษตรอินทรีย์ เพื่อการผลิตวัตถุดิบอย่างมีคุณภาพ ปลอดภัยตรงต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ยังมีแผนการวิจัยกัญชงสายพันธุ์ไทยแท้ ไม่ต้องพึ่งพานำเข้าพันธุ์จากต่างประเทศที่มีราคาสูง ด้านซีพีเอฟเองมีศูนย์วิจัยและพัฒนาอย่าง RD Center สามารถต่อยอดนำสารสกัดมาแปรรูปเป็นอาหาร อาหารเสริม หรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่มีคุณค่าทางโภชนาการ รวมทั้งมีเครือข่ายการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงเป็นความเคลื่อนไหวที่สำคัญและน่าติดตามยิ่งนัก


ทั้งนี้ จากการคาดการณ์กันว่ามูลค่าการตลาดโลกของกัญชงมีแนวโน้มเติบโตจะสูงถึง 8 แสนล้านบาทภายในปี 2568 จึงนับเป็นโอกาสที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยที่ใช้จุดแข็งเป็นประเทศที่มีพื้นที่และอากาศที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลูก บนพื้นฐานของความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อสร้างอาชีพที่มั่นคงของพี่น้องเกษตรกรที่เป็นต้นทางของการผลิตกัญชง เพื่อให้การดำเนินการทุกขั้นตอนอยู่ในกรอบของกฎหมายและปลอดภัยต่อผู้บริโภค เพราะกัญชงเป็นพืชที่ดูดซับอาหารทุกอย่างในดินได้ดีมากถึง 100% ดังนั้น การปลูกวิถีอินทรีย์ของ ม.แม่โจ้จะมาช่วยการันตีว่าพี่น้องเกษตรกรสามารถผลิตพืชกัญชงคุณภาพ ปลอดภัย ปราศจากสารปนเปื้อนในปริมาณที่มากเพียงพอสำหรับการผลิตอาหารได้อย่างต่อเนื่อง หากกฎหมายมีความชัดเจนมากขึ้น เราคงได้เห็นผลิตภัณฑ์อาหารเกี่ยวกับกัญชงของซีพีเอฟออกมาวางจำหน่ายในปีนี้

ความร่วมมือด้านกัญชงของสององค์กรในครั้งนี้ช่วยสร้างประโยชน์อย่างยิ่งต่อห่วงโซ่การผลิตทั้งระบบเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารของประเทศ ตอบโจทย์อาหารสุขภาพ สร้างเป็นโปรดักต์แชมเปี้ยนของประเทศ กลายเป็นจุดแข็งที่จะปูทางช่วยให้ประเทศไทยเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดโลกได้ไม่น้อย และน่าจะเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ใน Top Ten ของการเป็นผู้ส่งออกอาหารโลกได้ ซึ่งนับว่าตรงตามปรัชญา 3 ประโยชน์ที่เครือซีพี-ซีพีเอฟ ยึดเป็นหลักในการดำเนินธุรกิจที่ช่วยสร้างประโยชน์ให้แก่เศรษฐกิจของประเทศชาติ พี่น้องเกษตรกรมีอาชีพที่เพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงในอนาคต ขณะที่ผู้บริโภคมีทางเลือกอาหารเพื่อสุขภาพที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัยหลากหลายมากขึ้น และสร้างการเติบโตให้ประเทศ และบริษัทควบคู่ไปด้วยกัน


กำลังโหลดความคิดเห็น