“พาณิชย์” เผยยอดจดหลักประกันทางธุรกิจปี 63 มีจำนวน 100,461 คำขอ ลด 36.21% มูลค่า 1,487,186 ล้านบาท ลด 13% เหตุลูกหนี้ เจ้าหนี้ ระมัดระวังการขอและปล่อยสินเชื่อ เหตุเจอผลกระทบโควิด-19 คาดปี 64 ฟื้น หลังโควิด-19 ทุเลา จับตาทรัพย์สินประเภทเครื่องจักร รถยนต์ เรือ สัตว์ สิทธิเรียกร้อง ลูกหนี้การค้า สัญญาจ้าง ถูกนำมาใช้เป็นหลักประกันมากขึ้น ช่วยเอสเอ็มอีรายย่อยเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น
นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในปี 2563 มีผู้จดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ จำนวนทั้งสิ้น 100,461 คำขอ ลดลง 36.21% มูลค่ารวม 1,487,186 ล้านบาท ลดลง 13% โดยจำนวนคำขอและมูลค่ารวมที่ลดลงเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ผู้ให้หลักประกัน (ลูกหนี้) และผู้รับหลักประกัน (สถาบันการเงิน/เจ้าหนี้) ต่างมีความระมัดระวังในการขอและปล่อยสินเชื่อมากขึ้น และรอดูสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ความสำเร็จของการฉีดวัคซีน สภาพเศรษฐกิจทั้งภายในและต่างประเทศ รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ประกอบการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน
ทั้งนี้ คาดว่าปี 2564 หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทุเลาเบาบางลง การนำทรัพย์สินประเภทต่างๆ มาใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นและกลับสู่ภาวะปกติ
สำหรับประเภททรัพย์สินที่มีคำขอจดทะเบียนและมูลค่าลดลงสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. ทรัพย์สินทางปัญญา มีมูลค่าลดลง 100% เนื่องจากไม่มีการยื่นขอจดทะเบียน (ปี 2562 จดทะเบียน มูลค่า 10 ล้านบาท) 2. ทรัพย์สินประเภทที่ดิน มีมูลค่าลดลง 270 ล้านบาท หรือลด 99.63% (ปี 2562 จดทะเบียน มูลค่า 271 ล้านบาท ปี 2563 มูลค่า 1 ล้านบาท) และ 3. ไม้ยืนต้น มีมูลค่าลดลง 125 ล้านบาท หรือลด 97% (ปี 2562 จดทะเบียน มูลค่า 129 ล้านบาท ปี 2563 มูลค่า 4 ล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม มีประเด็นที่น่าสนใจ คือ ทรัพย์สินประเภทเครื่องจักร รถยนต์ เรือ สัตว์พาหนะ และสังหาริมทรัพย์อื่น มีผู้นำมาจดทะเบียนหลักประกัน มูลค่าเพิ่มสูงขึ้น 135,193 ล้านบาท หรือเพิ่ม 49% (ปี 2562 จดทะเบียน มูลค่า 278,572 ล้านบาท ปี 2563 มูลค่า 413,765 ล้านบาท) รวมถึงสิทธิเรียกร้อง ประเภทสิทธิการเช่า มูลค่าเพิ่มสูงขึ้น 22,714 ล้านบาท หรือเพิ่ม 42% (ปี 2562 จดทะเบียน มูลค่า 54,440 ล้านบาท ปี 2563 มูลค่า 77,154 ล้านบาท) และลูกหนี้การค้า สัญญาจ้าง สัญญาซื้อขาย มูลค่าเพิ่มสูงขึ้น 87,891 ล้านบาท หรือเพิ่ม 29% (ปี 2562 จดทะเบียน มูลค่า 303,356 ล้านบาท ปี 2563 มูลค่า 391,246 ล้านบาท) สะท้อนถึงความสำเร็จของกฎหมายที่ต้องการให้เอสเอ็มอีและผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายมากยิ่งขึ้น เพราะมีการนำทรัพย์สินที่ใช้ในการประกอบธุรกิจมาเป็นหลักประกันการชำระหนี้ จากเดิมที่ผู้ประกอบธุรกิจไม่สามารถนำทรัพย์สินอื่น นอกจากอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์มีทะเบียนบางประเภทมาใช้เป็นหลักประกัน
นับตั้งแต่กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ มีผลบังคับใช้วันที่ 4 ก.ค. 2559 จนถึงปัจจุบัน (ณ วันที่ 15 มี.ค. 2564) เป็นเวลากว่า 4 ปี มีผู้มาขอจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแล้ว จำนวน 588,791 คำขอ จำนวนเงินสูงสุดที่ใช้ทรัพย์สินเป็นหลักประกัน รวมทั้งสิ้น 9,395,561 ล้านบาท