ผู้จัดการรายวัน 360 - กลุ่มดุสิตธานีประกาศเพิ่มเงินทุนในโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ตามสัดส่วน จาก 12,915 ล้านบาท เป็น 17,250 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4,335 ล้านบาท หลังร่วมกับ CPN ตัดสินใจขยายขนาดโครงการจาก 36,700 ล้านบาท เป็น 46,000 ล้านบาท เตรียมปรับแผนยกระดับโครงการ
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DTC เปิดเผยว่า หลังจากกลุ่มดุสิตธานีได้ร่วมกับบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสมผสาน (Mixed-Use) ภายใต้ชื่อ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” ล่าสุดกลุ่มดุสิตธานี และ บมจ.เซ็นทรัลพัฒนาตัดสินใจร่วมกันในการเพิ่มเงินลงทุนโครงการดังกล่าวเพิ่มอีก 9,300 ล้านบาท จากเดิม 36,700 ล้านบาท เพิ่มเป็น 46,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ กลุ่มดุสิตธานีจะเพิ่มเงินลงทุนตามสัดส่วนการถือหุ้นในโครงการนี้อีก 4,335 ล้านบาท จากเงินลงทุนเดิม 12,915 ล้านบาท เพิ่มเป็น 17,250 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ได้เตรียมเงินลงทุนจากส่วนของผู้ถือหุ้นและวงเงินจากสถาบันการเงินไว้เรียบร้อยแล้ว โดยเงินทุนที่เพิ่มขึ้นในส่วนนี้จะนำไปพัฒนาโครงสร้างและพื้นที่โดยรวมของโรงแรม อาคารที่พักอาศัย และโครงสร้างศูนย์การค้า ส่งผลให้พื้นที่ใช้งานโดยรวมเพิ่มขึ้นเกือบ 1 ใน 3 หรือคิดเป็นพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นกว่า 7 หมื่นตารางเมตร ซึ่งบริษัทฯ ได้ทำการศึกษาอย่างรอบคอบและเชื่อมั่นว่าการเพิ่มเงินลงทุนในครั้งนี้จะทำให้โครงการมีผลตอบแทนที่ดีขึ้น ทั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเสนอวาระดังกล่าวเพื่อขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้นด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 75 ของผู้ถือหุ้นทั้งหมดที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียง
“การตัดสินใจเพิ่มเงินทุนโครงการ “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” มาจากสาเหตุหลัก 3 ประการ ประการแรก เราต้องการดึงศักยภาพของสถานที่ตั้งโครงการให้ออกมาได้สูงสุด เนื่องจากโครงการตั้งอยู่ในย่าน Super Core CBD ซึ่งเป็นจุดตัดของการจราจรทั้งลอยฟ้า บนดิน และใต้ดินที่เชื่อมโยงกรุงเทพมหานครทั้งย่านเก่าที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรม ย่านใหม่ที่มีความทันสมัย ย่านการค้าที่คึกคัก และย่านการเงินที่เข้มแข็งเข้าด้วยกัน รวมถึงอยู่ตรงข้ามกับสวนลุมพินี ซึ่งเป็นปอดของกรุงเทพฯ จึงทำให้สถานที่ตั้งโครงการมีความพิเศษ” นางศุภจีกล่าว
ประการที่สอง กลุ่มดุสิตธานีต้องการสร้างจุดเด่นและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ แห่งใหม่ ให้สามารถสานต่อวิสัยทัศน์ในการเป็นสัญลักษณ์ของโรงแรมไทยที่ได้มาตรฐานระดับโลก
ประการสุดท้าย คือ ความคาดหวังรายได้ที่สูงขึ้นจากการปรับโครงการที่พักอาศัยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนเมือง เป็นสองแบรนด์ คือ ในระดับลักชัวรีสำหรับแบรนด์ดุสิต เรสซิเดนเซส และระดับไฮเอนด์สำหรับแบรนด์ดุสิต พาร์คไซด์
“จากวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เราได้บทเรียนและตัดสินใจพัฒนามูลค่าเพิ่มให้แก่โครงการเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตในวิถีใหม่ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แต่เราคิดอย่างรอบคอบและประเมินอย่างรอบด้านแล้วว่านี่เป็นการเพิ่มโอกาสในการแข่งขันภายใต้สภาวะอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงเพิ่มโอกาสในการรับรู้รายได้ที่สูงขึ้นจากการดึงศักยภาพของโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ให้กลายเป็นโครงการระดับโลกบนมาตรฐานใหม่ที่มีคุณค่ามากขึ้นใน 4 ด้าน คือ 1) การผสานนวัตกรรมเข้ากับมรดกและเรื่องราวทางประวัติศาสาตร์ 2) การเชื่อมโยงทุกย่านสำคัญด้วยระบบคมนาคมทุกระนาบ 3) การสร้างคุณภาพชีวิตที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และ 4) การใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยสีสันพร้อมกับเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ให้แก่ชุมชน เพื่อทำให้โครงการแห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางและหมุดหมายใหม่ของกรุงเทพฯ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดุสิตธานีกล่าว
ทั้งนี้ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) แจ้งว่า ตามที่บริษัทฯ ได้ประกาศการร่วมทุนกับบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) (“DTC”) ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสม (Mixed Use Project) ซึ่งประกอบด้วยโครงการศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน โรงแรม และที่พักอาศัย ภายใต้ชื่อโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค (“DCP”) ซึ่งมีมูลค่าเงินลงทุนตามที่คณะกรรมการบริษัทได้เคยอนุมัติไว้โดยเป็นเงินลงทุนในส่วนของบริษัทฯ จำนวน 17,393 ล้านบาท รายละเอียดปรากฏตามสารสนเทศที่เปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลท.”) เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2560 นั้น
เพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับโครงการ รวมถึงการใช้ศักยภาพของที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 10/2563 เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2563 ได้มีมติอนุมัติงบประมาณการลงทุนเพิ่มเติมในโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค สำหรับส่วนการลงทุนของบริษัทฯ จำนวน 3,751 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบประมาณการลงทุนเดิมที่เคยได้รับอนุมัติจำนวน 17,393 ล้านบาท คิดเป็นงบประมาณการลงทุนใหม่สำหรับส่วนของบริษัทฯ วงเงินไม่เกิน 21,144 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการบริษัทพิจารณาแล้วเห็นว่าการลงทุนดังกล่าวมีความเหมาะสม สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว และจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ โดยเป็นการอนุมัติแบบมีเงื่อนไขในการเปิดเผยสารสนเทศต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อ DTC มีข้อสรุปที่ชัดเจนจากที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทของ DTC