“ปูนซิเมนต์ไทย” เผยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจปี 64 รับความท้าทายยุค New Normal โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ควบคู่กับ ESG เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าและสร้างความยั่งยืนในองค์กร
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยทิศทางการดำเนินธุรกิจประจำปี 2564 ว่า บริษัทฯ มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ตลอดกระบวนการทำงานเพื่อให้พร้อมปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ในยุค New Normal โดยทั้ง 3 ธุรกิจหลักของบริษัทจะนำแนวทาง ESG (Environment, Social, Governance) เข้ามาอยู่ในโมเดลการดำเนินธุรกิจ
ในปีนี้ธุรกิจแพกเกจจิ้งมีโอกาสเติบโตสูง เนื่องจากผู้บริโภคมีความต้องการใช้สินค้าแพกเกจจิ้งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ยอมรับว่าได้รับผลกระทบจากผลกระทบโควิด-19 ทำการก่อสร้างโครงการและที่อยู่อาศัยใหม่ๆ เกิดขึ้นได้ยาก แต่งานซ่อมแซมจะเพิ่มมากขึ้น และโครงการลงทุนของภาครัฐที่ยังคงเดินหน้าต่อไปได้ ดังนั้น กลุ่มซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างจำเป็นต้องปรับปรุงสินค้าและบริการ โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาพัฒนาช่องทางออนไลน์เพื่อเสนอสินค้าและบริการ พร้อมโซลูชันครบวงจร ตอบสนองความต้องการและวิถีชีวิตของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป
ส่วนธุรกิจเคมิคอล แม้ว่าจะขึ้นอยู่กับวงจรธุรกิจ และอีกส่วนหนึ่งได้รับผลกรทะบจากโควิด-19 แต่ก็มีบางกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด หรือวัสดุที่เกี่ยวข้อง Smart Energy หรือพลังงานอัจฉริยะในแผงโซลาร์เซลล์ยังไปได้ ดังนั้น กลุ่มเคมิคอลต้องปรับตัวเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เน้นสินค้านวัตกรรมตามเทรนด์ของโลก
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนานวัตกรรมมูลค่าสูง (High Value Added Products & Services - HVA) ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงมองหาโอกาสในตลาดใหม่ที่เริ่มฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 และขยายธุรกิจเพิ่มเติมในกลุ่มสินค้าและบริการที่มีความต้องการสูงขึ้น เช่น การต่อยอดธุรกิจสู่ Health & Well-Being Business
สำหรับการลงทุนในปีนี้ บริษัทฯ วางงบลงทุนไว้ที่ 6.5-7.5 หมื่นล้านบาท เพื่อรองรับกับการดำเนินธุรกิจทุกกลุ่มธุรกิจ ซึ่งเงินลงทุนส่วนใหญ่ใช้ในการก่อสร้างโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม ราว 60% ของงบลงทุน ซึ่งจณะนี้โครงการคืบหน้าไป 70% คาดว่าภายใน 1-2 ปีจะเปิดเชิงพาณิชย์ได้ ส่วนงบลงทุนปี 20-30% เป็นการลงทุนการเติบโตในตลาดใหม่ หรือนวัตกรรม
ส่วนปัจจัยเรื่องราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูง และค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้น บริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนค่าเงินบาทที่แข็งค่าก็ได้รับผลกระทบทำให้รายได้ลดลง เนื่องจากมีสัดส่วนการส่งออกมาก โดยบริษัทมีบริหารจัดการเพื่อลดต้นทุนการผลิต โดยมีการนำพลังงานทดแทนมาใช้