ครม.เห็นชอบ รฟม.แก้ไขสัญญาร่วมลงทุนรถไฟฟ้าสีชมพูต่อขยาย “ศรีรัช-เมืองทองธานี” เร่งเซ็นกลุ่ม NBM ลงทุนอีก 4.2 พันล้าน “ศักดิ์สยาม” เผยสายสีชมพูส่วนหลักเปิดปี 65 เป้าผู้โดยสาร 1.9 แสนคน/วัน สัมปทาน 30 ปี ทะลุ 1 ล้านคน
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 9 ก.พ. มีมติเห็นชอบการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนการออกแบบและก่อสร้างงานโยธา การจัดหาระบบรถไฟฟ้า การให้บริการการเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุง โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูช่วงแคราย-มีนบุรี กรณีโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี ระยะทางประมาณ 3 กม. มี 2 สถานี กรอบวงเงินลงทุน 4,230.09 ล้านบาท มีผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจ (EIRR) 12.9% ผลตอบแทนด้านการเงิน (FIRR) 7.1% ระยะเวลาก่อสร้าง 37 เดือน เปิดให้บริการเดือนกันยายน 2567 ประมาณการผู้โดยสาร ณ ปีที่เปิดให้บริการ 13,785 คน-เที่ยว/วัน
ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมรายงานว่า ได้ส่งเอกสารแนบท้ายร่างสัญญาร่วมลงทุนฯ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูฯ ฉบับแก้ไข ให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณา ซึ่งแจ้งผลการพิจารณากลับมาว่าเอกสารแนบท้ายดังกล่าวเป็นเอกสารทางเทคนิคในสาระสำคัญ ไม่ใช่เอกสารทางกฎหมาย สำนักงานอัยการสูงสุดจึงไม่อาจตรวจพิจารณาได้ และเป็นหน้าที่ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่จะต้องตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของเอกสารแนบท้ายสัญญาไม่ขัดหรือแย้งกับสัญญาที่สำนักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณา ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดก็ไม่มีข้อขัดข้องแต่อย่างใด ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าอยู่ในอำนาจที่ ครม.จะพิจารณาให้ความเห็นชอบการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนฯ ได้
สำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย ช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี ทาง รฟม.และบริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด หรือ NBM ผู้รับสัมปทาน ได้ดำเนินการเจรจาต่อรองเงื่อนไขต่างๆ เพื่อแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนโครงการ พร้อมทั้งเสนอคณะกรรมการ (บอร์ด) รฟม. และคณะกรรมการกำกับดูแลฯ พิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
รฟม.และ NBM ได้ลงนามสัญญาร่วมลงทุนการออกแบบและก่อสร้างงานโยธา การจัดหาระบบรถไฟฟ้า การให้บริการเดินรถไฟฟ้าและซ่อมบำรุงรักษา โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2560 ซึ่งสัญญาได้ระบุไว้ว่า ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมสัญญานี้คู่สัญญาต้องเจรจาเงื่อนไขต่างๆ ที่จำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมใหม่ แต่ต้องไม่ทำให้ รฟม.ได้รับสิทธิตามสัญญาน้อยกว่าที่ได้รับอยู่เดิม ซึ่ง รฟม.ได้ศึกษารายละเอียด พบว่าเป็นประโยชน์ต่อการให้บริการและการดำเนินงานของ รฟม. รวมทั้งเป็นประโยชน์สาธารณะ และสอดคล้องกับโครงข่ายรถไฟฟ้าในภาพรวม
ส่วนแนวเส้นทางโครงการส่วนต่อขยาย มีจุดเริ่มต้นบนถนนแจ้งวัฒนะเชื่อมต่อกับสถานีศรีรัช (PK-10) ของโครงการส่วนหลัก ก่อนเลี้ยวขวาวิ่งเข้าสู่พื้นที่เมืองทองธานีไปตามถนนแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 39 ขนานกับทางพิเศษอุดรรัถยา ผ่านวงเวียนเมืองทองธานี ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานี MT-01 และวิ่งต่อเนื่องไปยังจุดสิ้นสุดโครงการบริเวณทะเลสาบเมืองทองธานี ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานี MT-02
หลังจากที่การแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนแล้วเสร็จ รฟม.จะดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ และการขอใช้พื้นที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งมอบให้ผู้รับสัมปทานดำเนินการก่อสร้างส่วนต่อขยายตามแผนงานต่อไป
สำหรับสาระสำคัญของการแก้ไขสัญญาประกอบด้วย 1. NBM ยอมรับ การก่อสร้าง ปรับปรุงรูปแบบสถานีศรีรัช และรับผิดชอบค่าก่อสร้างที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงงานทั้งหมด 2. NBM ยังคงชำระค่าตอบแทนให้แก่ รฟม.ตามสัญญาโครงการส่วนหลัก และจะชำระผลตอบแทนเพิ่มเติมกรณีรวมโครงการส่วนหลักและส่วนต่อขยายให้แก่ รฟม. โดยอ้างอิงปริมาณผู้โดยสารในสัญญาโครงการส่วนหลัก
3. NBM ยอมรับการกำหนดอัตราค่าโดยสารและการปรับอัตราค่าโดยสารของโครงการส่วนต่อขยายให้สอดคล้องตามหลักการในสัญญาโครงการส่วนหลัก 4. การดำเนินโครงการส่วนต่อขยายจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อระยะเวลาดำเนินการตามสัญญาโครงการส่วนหลัก ทาง NBM ยอมรับให้คงระยะเวลาดำเนินโครงการส่วนหลักในระยะที่ 1 และ 2 ตามสัญญา
5. ให้ รฟม.มีส่วนแบ่งผลตอบแทนจากการเชื่อมต่อกับอาคารและพื้นที่ของเมืองทองธานี NBM จะดำเนินการภายใต้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยต้องได้รับการอนุมัติเป็นลายลักษณ์อักษรจาก รฟม.ก่อน และสิทธิในรายได้จากการพัฒนาเชิงพาณิชย์รวมถึงการเชื่อมต่อเป็นไปตามสัญญาส่วนหลัก และ 6. ผู้รับสัมปทานมีหน้าที่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากการดำเนินโครงการส่วนต่อขยาย ทั้งหมด
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า คาดว่า รฟม.จะสามารถลงนามกับ กลุ่ม NBM ได้เร็วๆ นี้ และกำชับให้ดำเนินการก่อสร้างสายหลักตามแผนงานซึ่งจะเสร็จและเปิดให้บริการในเดือน ต.ค. 2565 ส่วนต่อขยายจะเสร็จในปี 2566 โดยในปีแรกที่สีชมพูเปิดบริการคาดว่าจะมีผู้โดยสาร 190,000 คน และเพิ่มเป็นกว่า 1 ล้านคน/วันในปีสุดท้าย (ปีที่ 30)