IRPC แจงไตรมาส 3 ปี 2563 มีกำไรสุทธิ 1,556 ล้านบาท เป็นผลมาจากกำไร Stock gain และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กลุ่มปิโตรเคมีดีขึ้น คาดไตรมาส 4 ฟื้นตัวต่อเนื่องจากความต้องการเม็ดพลาสติกพุ่งรับเทศกาลปีใหม่ พร้อมขยายผลิตภัณฑ์สินค้ากลุ่มที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนเป็น 30% ในปี 2567
นายนพดล ปิ่นสุภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2563 IRPC มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตตามราคาตลาด (Market GIM) อยู่ที่ 4,937 ล้านบาท (8.74 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากการที่ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กลุ่มปิโตรเคมีปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ ABS ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสไตรีนิคส์ ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการสินค้าจากประเทศจีนปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าต้นทุน crude premium ปรับตัวสูงขึ้น และส่วนต่างราคากลุ่มปิโตรเลียมส่วนใหญ่ยังคงถูกกดดันอย่างต่อเนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด-19
การดำเนินงานในไตรมาส 3/2563 ราคาน้ำมันดิบโดยเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนจากความร่วมมือในการลดกำลังการผลิตของกลุ่มผู้ผลิตในโอเปกและนอกกลุ่มโอเปก รวมถึงความต้องการบริโภคน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ IRPC มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันสุทธิรวม 3,770 ล้านบาท หรือ 6.67 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตทางบัญชี (Accounting GIM) จำนวน 8,707 ล้านบาท หรือ 15.41 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 3,949 ล้านบาท หรือร้อยละ 83 ส่งผลให้ IRPC มีกำไรสุทธิ 1,556 ล้านบาท เทียบกับไตรมาสก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 411 ล้านบาท กำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 479
สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในไตรมาส 4/2563 คาดว่าจะทรงตัวอยู่ในระดับเดียวกับไตรมาส 3/2563 โดยมีปัจจัยที่เป็นแรงผลักดันราคาจากการบริโภคน้ำมัน ที่คาดว่าจะสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาวปลายปี คาดว่าจะหนาวกว่าปกติ และการที่กลุ่มโอเปกได้แสดงเจตนารมณ์ในการควบคุมการผลิตเพื่อรักษาสมดุลตลาด รวมถึงการลดลงของปริมาณการผลิตน้ำมันดิบที่อ่าวเม็กซิโกซึ่งได้รับผลกระทบจากพายุ ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐอเมริกาปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยที่กดดันราคาจากการที่กลุ่มโรงกลั่นกลับมาเดินกำลังการผลิตหลังฤดูการหยุดซ่อมบำรุง การผ่อนคลายการควบคุมการผลิตของกลุ่มโอเปก การกลับมาส่งออกของประเทศลิเบียหลังจากสถานการณ์ความขัดแย้งภายในประเทศคลี่คลาย และการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในบางประเทศของยุโรป แม้ว่าจะมีความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีน แต่มีการประเมินว่ายังต้องใช้เวลาถึงกลางปี 2564 จึงสามารถใช้งานได้
นายนพดลกล่าวต่อว่า ความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในไตรมาส 4/2563 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ในบางประเทศ ทำให้โรงงานกลับมาผลิตสินค้าเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการใช้พลาสติกสูงขึ้นตามพฤติกรรมการบริโภคในยุค New Normal และการ Stock เม็ดพลาสติกเพื่อผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลปลายปี ประกอบกับการหยุดซ่อมบำรุงของโรงงานปิโตรเคมีในภูมิภาคช่วงปลายปี ซึ่งทำให้อุปทานตึงตัว
“IRPC ยังคงเน้นการผลิตสินค้ากลุ่มที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA : High Value Added Products) สำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี โดยในปัจจุบันสัดส่วนการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Specialty grade) อยู่ที่ 13% และมีเป้าหมายเพิ่มการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ เป็น 30% ในปี 2567 โดยจะเน้นไปที่เม็ดพลาสติกเกรดที่ใช้สำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ และเม็ดพลาสติกชนิดความหนาแน่นสูงและทนทานมากกว่าโพลิเอทิลีนทั่วไป 10 เท่า หรือ UHMW-PE (Ultra High Molecular Weight Polyethylene) ที่นำไปใช้ในงานผลิตแผ่นกั้นแบตเตอรี่ (Battery separator) ข้อเข่าเทียม เชือกลากจูงเรือ เป็นต้น” นายนพดลกล่าว
ทั้งนี้ IRPC มีโครงการขยายกำลังการผลิตพลาสติก ABS อีก 6,000 ตัน/ปี คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ และสามารถทำการผลิตได้ในต้นปีหน้า จะทำให้ IRPC มีกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกชนิดพิเศษเพิ่มขึ้นด้วย
IRPC จึงวางเป้าหมายการดำเนินงานในการขยายตลาดไปสู่อุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ เช่น หน้ากากอนามัย ชุด PPE โดยได้เร่งวิจัยพัฒนาผลิตเม็ดพลาสติกเกรดพิเศษ และตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์กลุ่มนวัตกรรมทางการแพทย์ ล่าสุดได้วิจัยผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกเกรดพิเศษเพื่อผลิตผ้า Melt-blown ซึ่งเป็นแผ่นกรองอากาศที่เป็นชิ้นส่วนสำคัญในการผลิตหน้ากากอนามัยคาดว่าในช่วงต้นปีหน้าจะผลิตได้ตามเป้าหมาย