ส.อ.ท.มอง “โจ ไบเดน” ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่จะส่งผลให้เศรษฐกิจและการเมืองโลกเปลี่ยนไป เผยนโยบายอัดฉีด “โจ ไบเดน” ส่งผลบวกต่อ ศก.โลกและไทย แต่การเมืองโลกอาจจะต้องติดตามใกล้ชิด เหตุเดโมแครตให้ความสำคัญในการเป็นผู้นำโลกมากกว่าโดยเฉพาะการกลับมามีบทบาทในภูมิภาคเอเชีย
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่ล่าสุด โจเซฟ โรบิเนตต์ ไบเดน จูเนียร์ หรือ โจ ไบเดน เป็นผู้คว้าชัยชนะ ว่า นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ คนใหม่จะส่งผลต่อเวทีเศรษฐกิจและการเมืองโลกที่เปลี่ยนไปจากสมัยของนายโดนัลด์ ทรัมป์ โดยด้านเศรษฐกิจนั้น โจ ไบเดนมีนโยบายที่จะอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจถึง 2.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงกว่าทรัมป์เท่าตัว ซึ่งจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในฐานะที่ไทยเป็นคู่ค้าการส่งออกหากเดินได้ตามแผนที่วางไว้
อย่างไรก็ตาม นโยบายของโจ ไบเดน จะให้ความสำคัญในเรื่องของสิ่งแวดล้อมมุ่งเน้นอุตสาหกรรมสะอาด และเรื่องของสิทธิมนุษยชนมากขึ้น ที่ตรงกันข้ามกับทรัมป์อย่างสิ้นเชิง ดังนั้น ภาคการผลิตและการค้าของไทยจะต้องมุ่งดูแลในเรื่องนี้ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เป็นเครื่องยนต์สันดาปอาจจะได้รับผลกระทบเพราะคาดว่าสหรัฐฯ จะหันมาสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) มากขึ้น สิ่งนี้จะต้องปรับตัว รวมไปถึงอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเด็ก แรงงานผิดกฎหมาย จะถูกจับตามากขึ้น ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมที่ดูแลสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะ BCG (Bio, Cicular, Green) จะได้รับผลบวกจากนโยบายนี้ เป็นต้น ดังนั้น ไทยจะต้องปรับการค้าขายไปสู่แนวทางดังกล่าว
“ทรัมป์มีนโยบายด้านเศรษฐกิจที่หวือหวามากที่ผ่านมาโดยยึดประโยชน์สหรัฐฯ เป็นหลักทำตามที่หาเสียงไว้และไม่ค่อยใส่ใจกติกาโลก ซึ่งสหรัฐฯ เองส่วนใหญ่ก็ยึดประโยชน์สหรัฐฯ แต่ในมิติทรัมป์จะเน้นในเรื่องของการขาดดุลที่ต้องลดลงจนส่งผลให้เป็นสงครามทางการค้า (เทรดวอร์) โดยเฉพาะกับจีน เพื่อเพิ่มการจ้างงาน และดึงการลงทุนเข้าประเทศ ข้อดีของทรัมป์คือทำตามที่หาเสียงไว้เต็มที่ซึ่งดีต่อคนอเมริกันเป็นหลัก” นายเกรียงไกรกล่าว
สำหรับในแง่การเมืองโลกอดีตที่ผ่านมาสหรัฐฯ จะใช้เวทีการค้าต่างๆ ในโลกนี้เป็นเครื่องมือที่ร่วมกับพันธมิตรในการดำเนินนโยบายกับประเทศใดประเทศหนึ่งในโลกนี้เพื่อคงความเป็นตำรวจโลก แต่ทรัมป์จะให้น้ำหนักที่น้อยกว่า จะเห็นว่าทรัมป์เองมีนโยบายพาทหารในต่างประเทศกลับบ้านเพราะมองว่าสิ้นเปลืองงบประมาณ เรียกว่าทรัมป์ดำเนินนโยบายลักษณะห่างไกลจากเอเชียแม้ว่าบ่อยครั้งที่ทรัมป์แข็งกร้าวกับจีน กรณีไต้หวัน ข้อพิพาทในทะเลจีนไต้แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีอะไร แต่นโยบายพรรคเดโมแครตของโจ ไบเดน ชัดเจนว่าบทบาทของสหรัฐในฐานะผู้นำโลกจะมีความข้มข้นมากขึ้นและจะกลับมามีบทบาทในเอเชียมากขึ้นด้วย
“ที่ผ่านมาทรัมป์ยึดเศรษฐกิจเป็นหลัก ทั้งการถอนตัวจากการเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก (WHO) การถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการถอนตัวจากความตกลงหุ้นส่วน เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก 12 ประเทศ หรือทีพีพี (TPP) ที่ขณะนี้ญี่ปุ่นเป็นผู้นำกลายมาเป็นข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจในภูมิภาคแปซิฟิกหรือ CPTPP เชื่อว่าโจ ไบเดนจะกลับมาใช้เวทีนี้อีกครั้งซึ่งคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด” นายเกรียงไกรกล่าว