“ศักดิ์สยาม” สั่ง ทอท.เร่งอาคารส่วนต่อขยายด้านเหนือ ตั้งเป้าปี 65-66 สุวรรณภูมิ ต้องรับผู้โดยสารได้ 90 ล้านคน/ปี ยันมีเหตุผลจำเป็นและสอดคล้องกับรันเวย์ 3 และมาตรการ Social Distancing ต้องเพิ่มพื้นที่บริการ เร่งชงข้อมูล สศช. ขณะที่อาคาร SAT-1 คืบ 95% เปิดใช้ปี 65
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังตรวจเยี่ยมการก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 ว่าขณะนี้การก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรอง หลังที่ 1 หรือ SAT-1 มีความคืบหน้าประมาร 95% โดยเหลือการตกแต่งภายใน และติดตั้งระบบต่างๆ เช่น สายพานลำเลียงกระเป๋า และรถไฟฟ้าขนส่งผู้โดยสารอัตโนมัติ (Automated People Mover : APM) ซึ่งขณะนี้รับมอบรถแล้ว 4 ขบวนเหลืออีก 2 ขบวนจะรับมอบภายในสิ้นเดือน พ.ย.นี้ และเริ่มทดสอบเสมือนจริงในเดือน ก.พ. 2564 ขณะที่จะมีการทดสอบการเตรียมความพร้อมการเปิดให้บริการ (Operation Readiness and Airport Transfer : ORAT) ของอาคาร SAT-1 ระบบการปฏิบัติงานต่างๆ จะแล้วเสร็จในเดือน เม.ย. 2565 และเปิดให้บริการในปี 2565
ซึ่งภาพรวมถือว่ามีความล่าช้าจากแผนเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้ขาดแรงงาน และไม่สามารถนำข้าวัสดุ/อุปกรณ์ที่ผลิตจากต่างประเทศ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศไม่สมารถเดินทางมาให้คำปรึกษาในการดำเนินการติดตั้ง และทดสอบการทำงานร่วมกัน
โดยการพัฒนาสุวรรณภูมิระยะที่ 2 ล่าสุดใช้งบประมาณจำนวน 49,000 ล้านบาท ซึ่งประหยัดจากกรอบที่กำหนดไว้ ซึ่งอาคาร SAT-1จะรองรับผู้โดยสารได้ 15 ล้านคน/ปี เพิ่มขีดความสามารถรวมเป็น 60 ล้านคน/ปี
สำหรับโครงการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 (รันเวย์ 3) ซึ่งมีบริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR จอยต์เวนเจอร์กับบริษัท ถนอมวงศ์บริการ จำกัด เป็นผู้รับจ้างวงเงินประมาณ 9,600 ล้านบาท ได้เริ่มก่อสร้างแล้วประมาณ 1 เดือน ตามแผนงานจะแล้วเสร็จภายในกลางปี 2566 ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับเที่ยวบิน ได้เป็น 900 เที่ยวบิน/วัน หรือรับผู้โดยสารได้ถึง 90 ล้านคน/ปี
ดังนั้น ทอท.จะต้องเร่งแผนการขยายพื้นที่อาคารผู้โดยสารให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ที่ 90 ล้านคน/ปี โดยการเร่งรัด โครงการพัฒนาอาคารผู้โดยสาร ส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ (North Expansion) ซึ่งจะรองรับผู้โดยสารได้เพิ่มอีก 30 ล้านคน/ปี ซึ่งยังจะทำให้สอดคล้องกับขีดความสามารถของรันเวย์ที่3 ที่เพิ่มขึ้น และอีกเหตุผลคือ เพื่อรองรับการให้บริการ ด้วยการบริหารจัดการทำอากาศยานตามมาตรการสาธารณสุขในการเตรียมพื้นที่รองรับการทางสังคม (Social Distancing) ที่มีความจำเป็นต้องใช้พื้นที่สำหรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้น
โดยปัจจุบัน ได้เสนอโครงการอาคารผู้โดยสาร ส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ (North Expansion)ไปที่สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แล้ว ซึ่ง สศช.ได้พิจารณาเบื้องต้นและต้องการให้ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. จัดทำข้อมูลเพิ่มเติม ที่เป็นเหตุผลและความจำเป็นในการพัฒนาอาคารผู้โดยสาร ส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ ซึ่ง ทอท.อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูล ที่จะชี้แจงอธิบายต่อ สศช. ทั้งแผนแม่บทการพัฒนาสนามบินที่ได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงคมนาคม และการให้บริการตามมาตรการโควิด-19 ที่ต้องการพื้นที่เพิ่ม และเป้าหมายในการรองรับผู้โดยสารที่ 90 ล้านคน/ปี ในปี 2566 เพื่อให้สอดคล้องกับ รันเวย์ที่ 3 โดยให้เร่งนำเสนอข้อมูลเพิ่มเติมไปยัง สศช. เพื่อให้ทบทวนมติ ให้ความเห็นชอบในการดำเนินการ เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
“ทอท.จะต้องรวบรวมข้อมูล เหตุผลความจำเป็นเสนอไป สศช.เพิ่มเติม ซึ่งมีเป้าหมายว่าจะพัฒนาอาคาร North Expansion นี้ให้เสร็จพร้อมกับรันเวย์ 3 หรือในปี 2566 และทำให้สนามบินสุวรรณภูมิมีขีดรองรับผู้โดยสารได้ 90 ล้านคน/ปี ทั้งในพื้นที่อาคาร และรันเวย์”
นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.กล่าวว่า การก่อสร้างอาคาร North Expansion วงเงินลงทุน 42,000 ล้านบาท จะเป็นตัวหลักสำคัญในการรองรับการเดินทางของผู้โดยสารในปี 2565 ซึ่งคาดว่าจะต้องมีการบริหารจัดการสนามบิน ตามมาตรการสาธารณสุข โดยต้องมีการเตรียมพื้นที่รองรับการทางสังคม (Social Distancing) เนื่องจาก หลังเกิดโควิด-19 คาดว่าองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) จะออกมาตรการ วิถีใหม่การเดินทาง (Transport New Normal)
โดยอาคาร North Expansion ที่จะมีพื้นที่เพิ่มอีก 170,000งเมตร และพื้นที่ส่วนอาคารเทียบเครื่องบิน (Airside) อีก 125,000 ตารางเมตร มีพื้นที่เพิ่มสำหรับตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และช่องตรวจค้นผู้โดยสาร รวมทั้งหลุมจอดประชิดอาคารอีก 14 หลุม จะรองรับการเดินทางของผู้โดยสารได้อย่างสะดวกและปลอดภัยเมื่อเปรียบเทียบกับการก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านตะวันออก (East Expansion) ซึ่งจะเพิ่มเพียงพื้นที่อาคารผู้โดยสาร 66,000 ตารางเมตร ไม่พียงพอต่อ การรองรับผู้โดยสารแบบ New Normal คน หากเริ่มดำเนินการในต้นปี 2564 จะแล้วเสร็จในปี 2567 ทันต่อสถานการณ์ในการรองรับผู้โดยสารที่จะกลับสู่การเดินทางอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต