ผู้จัดการรายวัน 360 - NRF ผู้ผลิตและส่งออกอาหารและเครื่องปรุงรสชั้นนำ เดินหน้าแผนการลงทุนกว่า 1,068 ล้านบาท หวังผลักดันยอดขายแตะ 3,000 ล้านบาท ในปี 2567 หลังศักยภาพการดำเนินธุรกิจและสถานะทางการเงินมีความแข็งแกร่งขึ้น โชว์จุดแข็งการเป็นผู้ผลิตอาหารแห่งอนาคตที่แตกต่างเหนือคู่แข่ง ย้ำนโยบายจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิ
นายแดน ปฐมวาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ผู้ผลิต จัดหา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูป เครื่องปรุงสำหรับประกอบอาหาร อาหารมังสวิรัติที่ไม่มีส่วนผสมของไข่และนม อาหารโปรตีนจากพืช อาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุงและพร้อมรับประทาน และเครื่องดื่มสำเร็จรูปชนิดผงและน้ำ รวมถึงผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคที่ไม่ใช่อาหารในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม (V-shape) เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทฯ ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ส่งผลดีต่อศักยภาพการดำเนินงานและสถานะทางการเงินที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้น รองรับแผนลงทุนอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีข้างหน้า คาดว่าจะใช้เงินลงทุนกว่า 1,068 ล้านบาท เพื่อรุกขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารโปรตีนพืชในระดับพรีเมียม
โดยบริษัทฯ เตรียมนำเงินที่ได้หลังระดมทุนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ส่วนหนึ่งไปชำระเงินกู้ยืมระยะยาวทั้งหมด ซึ่งจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยราว 50-60 ล้านบาทต่อปี ช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงิน และทำให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำกว่า 1 เท่า
รวมทั้งเตรียมขยายการลงทุนต่อเนื่องในปี 2563-2565 ประกอบด้วย 1) ลงทุนซื้อหุ้นที่เหลืออีก 85% ภายในไตรมาส 4/63 ในบริษัท ซิตี้ฟูด จำกัด เพื่อขยายกำลังการผลิตและฐานการผลิตในประเทศเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตกลุ่ม Ethnic Food ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ยอดขายของบริษัทฯ เติบโตได้เร็วมากขึ้น
2) เข้าซื้อโรงงานผลิตอาหารโปรตีนจากพืชในประเทศอังกฤษและอเมริกา ผ่านการร่วมทุนกับ THE BRECKS COMPANY LIMITED หรือ ‘เบรคส์’ ที่ร่วมกันจัดตั้งบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ Plant and Bean Ltd รองรับการผลิตอาหารโปรตีนจากพืชให้กับบริษัทอาหารชั้นนำของโลก โดยมีแผนลงทุนเพิ่มเป็น 50% จากเดิมที่ถืออยู่ 25% พร้อมเพิ่มกำลังการผลิตจาก 3,400 ตัน เป็น 36,000 ตัน ภายในปี 2564
3) การลงทุนเพิ่มในกองทุน Big Idea Venture และ New Protein Fund I เพื่อได้รับโอกาสในการเพิ่มลูกค้าโดยการเป็น preferred co-packer ให้กับสตาร์ทอัพ พร้อมทั้งได้รับความรู้และเทคโนโลยีล่าสุดของอุตสาหกรรม
4) ลงทุนในเครื่องจักรผลิตเส้นบุกเครื่องที่ 2 เพื่อขยายกำลังการผลิต คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องผลิตได้ในไตรมาส 4/63
5) ลงทุนในธุรกิจผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคที่ไม่ใช่อาหารในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม (V-shapes) โดยมีแผนร่วมลงทุนเครื่องจักร V-shape อีก 5 เครื่อง หลังได้เข้าทำสัญญากับ Fluid Energy Group LTD ผู้นำนวัตกรรมเคมีภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อให้บริการเครื่องจักร V-shape สำหรับผลิตสินค้า Sanitization เพื่อจำหน่ายในประเทศแคนาดา สหรัฐอเมริกา คูเวต บาเรน กาตาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย โอมาน
6) ลงทุนใน E-Commerce Platform โดยจะร่วมทุนกับ Boosted ECommerce Inc. (Boosted) ใน 2 รูปแบบ คือ ลงทุนในกลุ่มบริษัท Boosted Ecommerce Inc. (Boosted) เพื่อบริหารจัดการธุรกิจ e-commerce ของ Third-party seller บน Amazon e-commerce platform และร่วมจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อลงทุนใน Consumer Package Goods ในอุตสาหกรรมอาหาร (รวมถึง pet food) พร้อมตั้งเป้ายอดขายจากธุรกิจออนไลน์ไว้ที่ 30% ของทั้งหมดในช่วง 3 ปีข้างหน้า
“การระดมทุนใน SET จะทำให้เราสามารถรุกขยายธุรกิจอาหารโปรตีนจากพืชได้เร็วยิ่งขึ้น จากแผนงานขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการตลาดที่มีดีมานต์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และช่วยผลักดันเป้าหมายการเติบโตยอดขายเพิ่มเป็น 3,000 ล้านบาท ภายในปี 2567 และทำให้ NRF ก้าวสู่ผู้นำในอุตสาหกรรมผลิตอาหารในระดับสากล และเป็นบริษัทฯ ที่มีรูปแบบพร้อมรองรับผลิตภัณฑ์อาหารที่มีการเติบโตสูงในอนาคต (Platform for Future Food) นอกจากนี้ บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิ ของงบการเงินเฉพาะกิจการภายหลังจากหักภาษีและเงินทุนสำรองตามกฎหมายและเงินสำรองอื่น” นายแดนกล่าว
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2563 คาดว่ายอดขายจะเติบโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 15-20% หลังได้รับผลปัจจัยบวกจากแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของ NRF เป็นที่นิยมในท้องตลาดมากขึ้นโดยเฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป ทั้งในกลุ่มอาหาร Ethnic Food กลุ่มอาหาร Plant-Based Food รวมถึงผลิตภัณฑ์ Functional Products (V-shapes) เช่น ผลิตภัณฑ์เจลแอลกอฮอล์ในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้รวม 603.7 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 41.1 ล้านบาท เติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 517.4 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 16.3 ล้านบาท