“ศักดิ์สยาม”ตรวจ “สุวรรณภูมิ” 14 ต.ค. เช็คความพร้อมห้องแลปและอุปกรณ์ ตรวจเชื้อโควิด-19 รับนโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติสั่งทอท. จัดการอีก 5 สนามบินให้พร้อมด้วย เผยสัปดาห์หน้าถก สธ.และท่องเที่ยวหาจังหวัด เป็นเกตุเวย์ กักตัว 14 วัน
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้า จะมีการหารือ ในเรื่องการนำนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้าประเทศไทย ทั้งกระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยจะมีการพิจารณาจังหวัดที่มีความพร้อมในการรับเป็นสถานที่กักตัว ( Quarantine) ซี่งเบื้องต้นต้องเพียง 1 จังหวัด เพื่อเป็นเกตุเวย์ สำหรับกักตัว เป็นเวลา 14 วัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ว่าจะไม่เสี่ยงทำให้เกิดการแพร่ระบาดในประเทศไทย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ต้องการเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้มาตรการสาธารณสุขที่เข้มแข็งเหมือนเดิม ซึ่งวันนี้คนไทยภายในประเทศ ไม่มีการติดเชื้อ มีเพียงคนที่เดินทางกลับเข้ามาจากต่างประเทศ ดังนั้นการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจะคัดเลือกประเทศที่มีมาตรการป้องกัน โรคโควิด-19 เป็นมาตรฐานและมีสถิติการติดเชื้อที่อยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่าประเทศไทย
โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกที่รัฐบาลจะเปิดรับ จะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยแบบ พำนักระยะยาว (Long Stay) และต่างชาติที่มีครอบครัวอยู่ในประเทศไทย โดยมาตรการคัดกรอง ก่อนเดินทางเข้ามาจะมีการตรวจหาเชื้อแบบใหม่ คือการเจาะเลือด ซึ่งจะมีผลยืนยัน 100% ซึ่งจะมีความแม่นยำกว่า การตรวจหาเชื้อจากโพรงจมูก และเมื่อเดินทางถึงไทยจะตรวจหาเชื้อซ้ำอีกครั้ง และมีการกักตัวในสถานที่กำหนดไม่น้อยกว่า 14 วัน ซึ่งเมื่อครบ 14 วัน และไม่พบเชื้อ จะผ่านการรับรอง และสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวในพื้นที่ต่างๆ ได้ของประเทศไทยได้
“การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ นั้นรัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุข ขณะเดียวกันต้องสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชนว่าไม่มีความเสี่ยงในการแพร่ระบาด ซึ่งจังหวัดบุรีรัมย์นั้นพร้อมที่จะเป็นเกตุเวย์ ในการเป็นสถานที่กักตัว โดยเบื้องต้น ก.สาธารณสุข ได้สอบถามความเห็นไปยังทุกจังหวัดแล้ว เพื่อสอบถามประชาชนในพื้นที่ว่ามีความเข้าใจและยอมรับหรือไม่ ซึ่งคาดว่าในสัปดาห์ จะทราบผลการพิจารณา”
นายศักดิ์สยามกล่าวว่า ในวันที่ 14 ต.ค.นี้ ตนจะเดินทางไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อตรวจห้องปฏิบัติการตรวจเชื้อ โควิด-19 (ห้องแลปคัดกรองโรคโควิด) สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อพิจารณาว่า มีพื้นที่ อุปกรณ์เครื่องมือ เพียงพอที่จะสามารถรองรับจำนวนผู้โดยสาร กรณีที่รัฐบาลจะมีการเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังประเทศไทยหรือไม่ ซึ่งระบบการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาเชื้อนั้น ทราบผลโดยใช้เวลาไม่ถึง 3 ชั่วโมง ซึ่งประเทศสิงคโปร์ สามารถตรวจสอบได้ ถึง 27,000 คนต่อวัน และจะขยายเป็น 40,000 คนต่อวัน
ซึ่งที่สุวรรณภูมิ ต้องดูว่า ช่วงปกติ มีปริมาณผู้โดยสารจำนวนเท่าไร ดังนั้น ขีดความสามารถของห้องแลป ในการตรวจหาเชื้อ จะต้องเพียงพอกับผู้โดยสาร เช่น เคยมีนักท่องเที่ยวเข้ามา 50,000 คนต่อวัน หรือ 100,000คนต่อวัน จะต้องสามารถใทดสอบตรวจเชื้อได้ ขณะที่ต้นทุนในการจัดทำห้องแลปและอุปกรณ์ ไม่น่าจะเพิ่มมากนัก
นอกจากนี้ ยังมอบนโยบายให้ทางบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท.ไปดำเนินการเตรียมความพร้อมในการจัดเตรียมห้องแลปและเครื่องมือในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้รองรับจำนวนนักท่องเที่ยวได้อย่างเพียงพอ กับทุกท่าอากาศในความรับผิดชอบ ได้แก่ สุวรรณภูมิ , ดอนเมือง, เชียงใหม่, ภูเก็ต, แม่ฟ้าหลวง เชียงราย และหาดใหญ่