ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจคาดกินเจปีนี้สุดกร่อย เงินสะพัด 4.6 หมื่นล้าน โตต่ำสุดในรอบ 13 ปี เหตุคนกังวลเศรษฐกิจจากพิษโควิด-19 ผสมปัญหาชุมนุมทางการเมือง ทำให้หมดอารมณ์ใช้จ่าย ท่องเที่ยว แถมราคาอาหารเจยังเพิ่มขึ้นก็เลยไม่อยากกิน สอดคล้องดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ก.ย.ที่ปรับลดลงครั้งแรกในรอบ 5 เดือน หลังคนห่วงเศรษฐกิจ ม็อบ ผลกระทบโควิด-19
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายช่วงเทศกาลกินเจระหว่างวันที่ 17-25 ต.ค. 2563 ว่า เทศกาลกินเจปีนี้คาดว่าบรรยากาศจะไม่คึกคักมากนัก เพราะมีคนกินเจเพียงแค่ 39% น้อยกว่าคนไม่กินเจที่มีมากถึง 61% ทำให้เม็ดเงินใช้จ่ายตลอดเทศกาลอยู่ที่ 46,967 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 0.9% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่มียอดใช้จ่าย 46,549 ล้านบาท ถือเป็นอัตราเติบโตต่ำสุดรอบ 13 ปี โดยประชาชนมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 11,400 บาท
สาเหตุที่ทำให้เทศกาลกินเจปีนี้เงียบเหงา เนื่องจากคนส่วนใหญ่ประสบปัญหาหนี้สิน หลังเศรษฐกิจชะลอตัวจากการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมของไทยตลอด 9 เดือนที่ผ่านมาตกต่ำ และยังมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการเมืองที่มีการชุมนุมจนกระทบต่อการท่องเที่ยว กินเจหรือจับจ่ายใช้สอย รวมทั้งบางคนยังกลัวว่าจะตกงานตามภาวะเศรษฐกิจ อีกทั้งราคาอาหารเจสูงขึ้น ทำให้คนไม่อยากกิน
สำหรับแนวโน้มราคาอาหารเจและวัตถุดิบในการปรุงอาหารเจในปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้วมีราคาแพงขึ้น 58% ราคาเท่าเดิม 41% และราคาลดลงเพียง 1% ซึ่งเป็นผลจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น พ่อค้าแม่ค้าปรับราคาขึ้น รองลงมาเป็นผลกระทบจากโควิด-19 ค่าแรงที่สูงขึ้น ปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม
ส่วนคนที่สนใจเดินทางไปทำบุญตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ปีนี้จะมีเหลือเพียง 4.4% เท่านั้น เดินทางไปเฉลี่ย 1-3 วัน ส่วนคนที่ไม่เดินทางจะมีถึง 95.6%
นายธนวรรธน์กล่าวว่า เทศกาลกินเจที่ซบเซามีทิศทางสอดคล้องกับผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือน ก.ย. 2563 หลังพบว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทุกรายการปรับลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน นับตั้งแต่รัฐบาลได้คลายล็อกดาวน์ เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมืองไทย หลังจากมีการชุมนุมทางการเมืองหลายครั้งในเดือน ก.ย. 2563 และการลาออกของ รมว.คลัง ขณะเดียวกันยังกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าและการว่างงานที่เกิดจากผลกระทบโควิด-19
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ระดับ 42.9 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวมอยู่ที่ 48.2 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 59.4 ปรับตัวลดลงทุกรายการเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ แสดงว่าผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคต ที่สำคัญยังส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน โดยปรับตัวลดลงจากระดับ 51.0 เป็น 50.2
“การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมยังคงเคลื่อนไหวคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคมองสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมย่ำแย่จากวิกฤตโควิด-19 ทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบในเชิงลบอย่างมากต่อกำลังซื้อภายในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคการส่งออก ธุรกิจโดยทั่วไป และการจ้างงานในอนาคต โดยบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตอย่างต่อเนื่อง” นายธนวรรธน์กล่าว