“ถาวร เสนเนียม” เปิดผลตรวจสอบข้อเท็จจริงทุจริต “การบินไทย” สาวถึงต้นตอเป็นรายบุคคล ทำเจ๊งยับเยิน เผยเอกสารตรวจสอบมี 10 แฟ้ม เตรียมชง” ป.ป.ช.-นายกฯ-คลัง รับดำเนินการต่อ แจงขาดทุนเรื้อรังเหตุสำคัญ ซื้อเครื่องบิน A340/A340 ถึง 10 ลำ
นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงในการบริหารกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) นำโดยหัวหน้าคณะทำงานฯ พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้เปิดเผยถึงผลการตรวจสอบการขาดทุนของการบินไทย ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจ และตั้งคำถาม ถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสายการบินแห่งชาติที่เปรียบเสมือนสมบัติของคนไทยทุกคน
นายถาวร เสนเนียม เปิดเผยถึงความรู้สึกที่มีต่องานสำคัญในครั้งนี้ว่า “ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแล บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ผมและคณะทำงานฯ ทำงานอย่างเต็มความสามารถ เพื่อตอบข้อสงสัยของสังคม เกี่ยวกับการขาดทุนของการบินไทยที่เป็นปัญหาเรื้อรังมาตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากการจัดซื้อเครื่องบิน A340-500 และ A340-600 จำนวน 10 ลำ
เมื่อนำมาทำการบินก็เกิดปัญหาขาดทุนทุกเส้นทางบิน ตั้งแต่เที่ยวบินปฐมฤกษ์ กรุงเทพ-นิวยอร์ก ในเดือนกรกฎาคม 2548 จนปลดระวางลำสุดท้าย ในปี 2556 และยังเป็นปัญหาภาระในการดูแลจนถึงปัจจุบัน รวมถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกจำนวนมหาศาล ที่เป็นการใช้เงินแบบไม่สมเหตุสมผล มีการเสียเงินแบบไม่น่าเสีย และส่อไปในทางทุจริต”
พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช กล่าวถึงการทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงในครั้งนี้ว่า “คณะทำงานฯ มีเวลาทำงานเพียง 43 วัน มีการแต่งตั้งคณะทำงานชุดย่อย 6 คณะ มีการประชุมไปแล้ว 3 ครั้ง มีผู้มาให้ข้อมูล ทั้งโดยเปิดเผยและไม่เปิดเผยไม่น้อยกว่า 100 คน มีการตรวจสอบรายงานการประชุมของคณะกรรมการชุดต่างๆ ของบริษัท ย้อนหลัง 3 ปี คือ ปี 2560-2562 จนกระทั่งการบินไทยพ้นสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจเมื่อ 22 พฤษภาคม 2563 และเมื่อพ้นสภาพ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็ได้มีความเห็นว่าคณะทำงานฯ ไม่มีอำนาจดำเนินการตามกฎหมายได้ต่อไป จึงสิ้นสุดการตรวจสอบและนำข้อมูลที่ตรวจพบนำส่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเปิดเผยให้สาธารณชนทราบ”
“จุดเริ่มต้นของการขาดทุน ต้องย้อนไปในปี 2551 ซึ่งนับเป็นเวลา 3 ปี จากเที่ยวบิน A340 เริ่มทำการบิน การบินไทยขาดทุนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การก่อตั้งบริษัทมา 60 ปี เป็นมูลค่า 21,450 ล้านบาท ต้องแก้ปัญหาด้วยการออกหุ้นกู้เป็นครั้งแรก ซึ่งคณะทำงานฯ พบว่าปัญหาการขาดทุนของการบินไทยจำนวนไม่ต่ำกว่า 62,803.49 ล้านบาท มาจากการจัดซื้อเครื่องบินรุ่น A340 จำนวน 10 ลำนั้น เป็นผลมาจากปัจจัย 3 เรื่อง
คือ 1. การบินไทยไม่ให้ความสำคัญต่อการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีอย่างเคร่งครัด 2. ปัญหาการจ่ายสินบนของบริษัท โรลส์-รอยซ์ ผ่านนายหน้าคนกลางให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและพนักงานการบินไทย วงเงินกว่า 254 ล้านบาท ในการเอื้อประโยชน์ให้มีการจัดซื้อเครื่องยนต์อะไหล่ 7 เครื่องยนต์และการซ่อมบำรุงแบบเหมาจ่าย Total Care Agreement 3. มีข้อมูลการจ่ายเงินสินบนไม่ต่ำกว่า 5% หรือประมาณ 2,652 ล้านบาท ผ่านนายหน้าคนกลางให้กับนักการเมือง เจ้าหน้าที่ และพนักงานการบินไทย แลกกับการจัดซื้อเครื่องบินรุ่น A340 จำนวน 10 ลำ” นายถาวร เสนเนียม กล่าวถึงสาเหตุสำคัญของการขาดทุน
พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ให้ข้อมูลถึงการใช้จ่ายของการบินไทยที่ขาดการตรวจสอบถ่วงดุล ส่อให้เกิดการทุจริต ซึ่งเกี่ยวพันกับการทำสัญญาต่างๆ และการบริหารงานที่เอื้อประโยชน์แก่ตัวเองและพวกพ้อง
“คณะทำงานฯ ได้ตรวจสอบช่วงปี 2560-2562 ซึ่งการบินไทยขาดทุนรวมไม่ต่ำกว่า 25,659 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสูงมาก เช่น ค่า OT ฝ่ายช่างสูงถึง 2,022 ล้านบาท โดยตรวจพบพนักงาน 1 คน ทำ OT สูงสุด ได้ถึง 3,354 ชั่วโมง มีวันทำ OT ถึง 419 วัน แต่ 1 ปี มีเพียง 365 วัน มีการจัดหาเครื่องบินรุ่น B787-800 จำนวน 6 ลำ แบบเช่าดำเนินงาน โดยแต่ละลำมีราคาไม่เท่ากัน มีส่วนต่างของราคาต่างกันถึง 589 ล้านบาท ทั้งที่เป็นเครื่องบินแบบเดียวกัน มีการจ่ายค่าชดเชยการคืนสภาพเครื่องบินแบบเช่าดำเนินงาน รุ่น A330-300 จำนวน 2 ลำ สูงถึง 1,458 ล้านบาท และมีผู้รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ได้รับเงินค่าตอบแทนเพิ่มพิเศษในอัตราเดือนละ 200,000 บาท ผ่านไป 9 เดือน เพิ่มเป็น 600,000 บาทโดยอ้าง แนวปฏิบัติที่เคยทำมา และยังมีอีกมากมาย ในหลายๆ แผนกทั้งการขายตั๋ว การโฆษณา การจัดซื้ออุปกรณ์บนเครื่อง ครัวการบินไทย น้ำมันเชื้อเพลิง”
รายงานผลการตรวจสอบจะถูกนำเสนอให้กับกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของการบินไทย คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และนำเรียนนายกรัฐมนตรีซึ่งมีอำนาจในการดำเนินการได้อย่างเด็ดขาดต่อไป
นายถาวร เสนเนียม รมช.คมนาคม กล่าวว่า เอกสารผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงมีถึง 10 แฟ้ม มีรายละเอียดผลการตรวจสอบและรายชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน โดยตนจะลงนามรับรอง และส่งไปถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กระทรวงการคลัง ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ภายในวันที่ 31 ส.ค.นี้เป็นอย่างช้า เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบเอาผิดต่อไป ส่วนกระทรวงคมนาคมนั้นไม่มีอำนาจในการดำเนินการเอาผิด เนื่องจากการบินไทยหลุดพ้นจากการเป็นรัฐวิสาหกิจ ไปแล้ว