“ถาวร” ตรวจความพร้อมระบบบริการเดินอากาศ-การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และตั้งศูนย์ฝึกอบรมด้านการบิน “อู่ตะเภา” บวท.หารืออีอีซี วางจุดก่อสร้างหอบังคับการบิน คาดลงทุน 1.2 พันล้านบาท
นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ตรวจเยี่ยมพื้นที่โครงการฯ ณ พื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานนานาชาติอู่ตะเภาเพื่อติดตามการดำเนินงานโครงการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมด้านการบินและอวกาศอู่ตะเภา พร้อมรับฟังบรรยายสรุป ความคืบหน้าแผนงานการให้บริการเดินอากาศ และโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในพื้นที่จังหวัดระยองและจันทบุรี
นายสำนึก รงค์ทอง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) กล่าวว่า บวท.มีหน้าที่เตรียมการเพื่อจัดให้มีบริการจราจรทางอากาศและระบบเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกในการเดินอากาศเพื่อรองรับการเปิดใช้งานเฟสใหม่ของสนามบินอู่ตะเภา ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) และกลุ่ม UTA (บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด) เพื่อกำหนดพื้นที่ในการก่อสร้างหอบังคับการบินและจุดวางตำแหน่งระบบอุปกรณ์ต่างๆ ในสนามบิน
ทั้งนี้ จะใช้เงินลงทุนประมาณ 1,200 ล้านบาท คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนกันยายนนี้ และดำเนินการขอความเห็นชอบการลงทุน และเริ่มดำเนินการในขั้นตอนต่อไป
นอกจากนี้ บวท.ยังอยู่ระหว่างการหารือกับกองทัพเรือเพื่อเตรียมการถ่ายโอนงานและบุคลากรให้สามารถเตรียมการได้ทัน รวมถึงการจัดทำข้อตกลงต่างๆ เพื่อให้สนามบินอู่ตะเภามีขีดความสามารถสูงสุดทั้งในภารกิจด้านความมั่นคงของกองทัพเรือและด้านการบินเชิงพาณิชย์
สำหรับการเข้าดำเนินงานนั้น บวท.ได้มีการจัดเตรียมเทคโนโลยีและระบบอุปกรณ์ทันสมัยต่าง ๆ ที่มีมาตรฐานและศักยภาพระดับสากลเข้าใช้งาน เพื่อให้เชื่อมโยงเข้ากับระบบพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบบริการการเดินอากาศ (TMCS : Thailand Modernization CNS/ATM System) ซึ่งเพิ่งเปิดใช้งานพร้อมกันทั่วประเทศไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 โดยเฉพาะการเชื่อมโยงเข้ากับระบบควบคุมจราจรทางอากาศเขตสนามบินและเขตประชิดสนามบินของดอนเมืองและสุวรรณภูมิ เพื่อให้เป็นสามสนามบินหลักในพื้นที่ส่วนกลางของประเทศที่อยู่ภายในเขตบริหารจัดการเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลให้ทั้งสามสนามบินมีความสะดวกคล่องตัวลดปัญหาความล่าช้าและมีประสิทธิภาพการบินดียิ่งขึ้น
น.ส.ภัคณัฏฐ์ มากช่วย รองผู้ว่าการฝ่ายบริหาร รักษาการผู้ว่าการ สถาบันการบินพลเรือน (สบพ.) กล่าวว่า สบพ.ได้รับจัดสรรพื้นที่จากสำนักงานบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกของกองทัพเรือ ในการดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรด้านการบินและอวกาศอู่ตะเภา โดย สบพ.จะบริหารจัดการสิ่งปลูกสร้างและสาธารณูปโภคในพื้นที่ มีการสำรวจด้านปฐพีกลศาสตร์ (การเจาะสำรวจดิน ขุดเก็บตัวอย่างดินจากหลุมทดสอบ งานทดสอบดินด้วยวิธีอัดความดัน ผลการทดสอบในสนาม และในห้องปฏิบัติการ ดำเนินการวางผังอาคารเพื่อประหยัดพลังงาน
โดยยึดหลักเกณฑ์ตามมาตรฐานสากลของ ICAO ในเรื่องความสูงอาคาร ต้องไม่เกิน 45 เมตร เนื่องจากโครงการตั้งอยู่ภายนอกเขต AIRSIDE ของสนามบิน และออกแบบอาคาร โดยยึดหลักตามหลักเกณฑ์ของ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร และกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารอื่น ๆ ของประเทศไทย มาตรฐานของสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและอนุรักษ์พลังงาน เป็นต้น
ด้านนายโชคชัย ปัญญายงค์ ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาตะวันออก (สกพอ.) กล่าวว่า การพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาเมืองการบิน มูลค่า 293,699 ล้านบาท คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในปี 2568 ซึ่งการใช้รูปแบบ PPP ทำให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพและคล่องตัว ความเชี่ยวชาญจากเอกชน และคุณภาพในการให้บริการ ลดภาระการลงทุนและการใช้ทรัพยากรของรัฐ รวมทั้งลดความเสี่ยงของรัฐ และสามารถนำเทคโนโลยี ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์จากเอกชนที่ทันสมัยมาใช้ในการบริหารจัดการ เพื่อเป็น EEC Airport เป็นสนามบินระดับโลก การเป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค (Aviation Hup) และรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการบิน (3rd Bangkok Airport) และการพัฒนาความรู้และเทคโนโลยีแก่บุคลากร (Technology)