“สุพัฒนพงษ์” วางนโยบายพลังงาน 3 ด้านเร่งสร้างงาน สร้างรายได้ วางรากฐานสู่อนาคต พร้อมดูแลราคาพลังงานลดค่าครองชีพประชาชนเร่งศึกษาตรึง LPG-NGV ขีดเส้น 30 วันได้ข้อสรุปเดินหน้าโรงไฟฟ้าชุมชน เพิ่มอัตรารับซื้อโซลาร์ภาคประชาชน เร่งสร้างงานในภาคพลังงานรับนักศึกษาจบใหม่ 4-5 แสนคน
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยหลังการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “พลังงานร่วมใจ รวมไทยสร้างชาติ” ว่า นโยบายการบริหารงานด้านพลังงานมุ่งเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการใช้พลังงานขับเคลื่อนการสร้างงาน สร้างรายได้ และวางรากฐานสู่อนาคต รวมถึงการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่จะบรรเทาค่าครองชีพประชาชนโดยจะเจรจากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรึงราคาพลังงาน เช่น ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (NGV) ที่จะต้องมีการพิจารณารายละเอียดต่อไป
สำหรับแนวทางการบริหารส่วนใหญ่ยังเน้นสานงานเดิมโดยเฉพาะเร่งด่วนได้มอบหมายให้กระทรวงพลังงานหาข้อสรุปโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานรากภายใน 30 วัน โดยมีเป้าหมายเปิดรับซื้อภายในปีนี้เพียงแต่ให้มั่นใจว่ารายได้นั้นจะต้องตกถึงเกษตรกรอย่างแท้จริงจึงให้ไปศึกษารายละเอียด อย่างไรก็ตาม การเปิดรับซื้อที่เดิมกำหนดไว้ระยะเร่งด่วน (ควิกวิน) 100 เมกะวัตต์นั้น ก็อาจจะเป็น 100-200 เมกะวัตต์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับความพร้อมเรื่องเชื้อเพลิงที่ตอบโจทย์สร้างงานและสร้างรายได้ให้ชุมชน
“การขับเคลื่อนไม่จำเป็นต้องรอให้แผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (พีดีพี 2018) ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่อย่างใด เพราะสามารถทำเป็นบทแทรกเพื่อขอความเห็นตามขั้นตอนกระทรวงพลังงาน” นายสุพัฒนพงษ์กล่าว
ขณะเดียวกัน โครงการโซลาร์ภาคประชาชนที่เปิดรับซื้อไฟส่วนเกิน 1.68 บาทต่อหน่วย มีนโยบายที่ต้องการให้เพิ่มอัตรารับซื้อ แต่ต้องไม่เป็นภาระต่อค่าไฟจนเกินไป จึงให้ไปศึกษา ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการตั้งคณะทำงานร่วมกับภาคประชาชนก็ยังคงดำเนินการในส่วนนี้ไม่ได้ยกเลิกอะไร แต่เรื่องนี้ไม่ได้ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนนักยังมีเวลา
นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการสร้างงาน สร้างรายได้ให้ชุมชนผ่านกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานในปีงบประมาณ 2564 โดยการบริหารงานขณะนี้ที่มีการกลั่นกรองโครงการแล้วในส่นของงบปี 2563 ก็จะเดินหน้าต่อไปเพื่อนำไปสู่การพิจารณาอนุมัติ ขณะเดียวกัน จากการหารือร่วมกับรัฐและเอกชนด้านพลังงานได้มอบหมายให้ช่วยกันคิดว่าจะช่วยแก้ไขเศรษฐกิจได้อย่างไร โดยเฉพาะรองรับการจ้างงานของนักศึกษาจบใหม่ 4-5 แสนคน และการช่วยเหลือเอสเอ็มอี ซึ่งจะได้ข้อสรุป 2 สัปดาห์
สำหรับการบริหารจัดการด้านพลังงานเพื่อให้ไทยมีความมั่นคงด้านพลังงานนั้น ที่สนใจเป็นเรื่องนโยบายเดิม คือ การหาความชัดเจนการเจรจาเพื่อร่วมพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ที่จะมุ่งทำให้ชัดเจนแต่อาจต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ส่วนนโยบายเดิมที่วางไว้ในเรื่องการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบใหม่ มอบหมายกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติศึกษาว่ามีผู้ประกอบการสนใจมากน้อยเพียงใด แปลงใหม่ที่จะเปิดมีความคุ้มค่ามากหน้อยแค่ไหนหากเปิดในตอนนี้ ปัจจุบันราคาพลังงานไม่สูงจะมีความจูงใจหรือไม่ ส่วนเปิดเสรีก๊าซธรรมชาติ ปัจจุบันเป็นระยะที่ 2 ที่มีเอกชนหลายรายที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการจัดหาและค้าส่งก๊าซธรรมชาติ (Shipper) จากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) คาดว่าจะเห็นการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ภายในปีนี้
“พลังงานในอนาคตนั้นจะมุ่งเน้นและส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นของคนไทย พัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน ดังนั้นจะเน้นการลงมือทำให้สำเร็จ (Execution) เพราะเป็นสิ่งจำเป็นในยามวิกฤติโควิด-19 ซึ่งได้มอบให้ผู้บริหารทำแผนระยะ 5 ปี ที่กำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจน เพื่อให้ติดตามได้อย่างใกล้ชิดโดยไม่ต้องมุ่งระยะยาว” นายสุพัฒนพงษ์กล่าว