ผู้จัดการรายวัน 360 - THG ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.มหิดล ลงนามเอ็มโอยู จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านบริการทางการแพทย์ คิดค้น Health Tech ยกระดับโรงพยาบาลสู่ Smart Hospital รับโอกาสไทยเป็นเมดิคัลฮับของภูมิภาคสู่การจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในอนาคต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางการแพทย์และสุขภาพแก่ประเทศ
นายแพทย์ บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีนโยบายนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ๆ เข้ามาให้บริการเพื่อเพิ่มศักยภาพและยกระดับโรงพยาบาลเครือ THG สู่ Smart Hospital รับยุคดิจิทัลและศักยภาพประเทศไทยเป็นเมดิคัลฮับของภูมิภาคนี้ รวมถึงความต้องการใช้บริการทางการแพทย์จากชาวต่างชาติที่เป็นกลุ่มเฮลท์ทัวริสซึมหรือกลุ่มท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เนื่องจากประเทศไทยสามารถรับมือการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ได้ดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลกและมีอัตราการเสียชีวิตต่ำ
ล่าสุดจึงลงนามความร่วมมือเอ็มโอยูกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดตั้ง ‘ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม Medical Services’ ที่ รพ.ธนบุรี บำรุงเมือง เพื่อสนับสนุนการวิจัยพัฒนาอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ เพื่อนำมาใช้ในโรงพยาบาลเครือ THG และร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม Health Tech สู่การจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในอนาคต ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนความก้าวหน้าและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางการแพทย์แก่ประเทศอีกด้วย
"เทรนด์ของโรงพยาบาลในอนาคตจะต้องพัฒนาสู่ Smart Hospital นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ต่างๆ เข้ามาใช้ เช่น ระบบ AI, เพื่อยกระดับบริการให้ก้าวหน้าล้ำสมัยสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล ช่วยให้คนไข้ที่อยู่ห่างไกลสามารถได้รับคำปรึกษาและเข้าถึงการรักษาได้ทันเวลา ขณะที่โรงพยาบาลสามารถให้บริการคนไข้ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น" นายแพทย์ บุญ กล่าว
ดร.เจษฎา ธรรมวณิช Chief PPP Business บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG กล่าวว่า การเปลี่ยนเแปลงสู่ยุคดิจิทัลและ COVID-19 เป็นตัวเร่งให้โรงพยาบาลต้องปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงและป้องกันความเสี่ยงจากโรคระบาด โดยนำนวัตกรรมเทคโนโลยีและอุปกรณ์การแพทย์ รวมถึงการนำหุ่นยนต์ผู้ช่วยบุคลากรทางการแพทย์เข้าให้บริการในโรงพยาบาลเพื่อลดการสัมผัสคนไข้และแก้ไขปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ
ที่ผ่านมา THG ได้เพิ่มศักยภาพให้บริการแก่คนไข้ โดยนำเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในโรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง เช่น ระบบทันตกรรมดิจิทัล สามารถทำรากฟันเทียมเสร็จภายใน 1 วันเท่านั้น, ศูนย์ตรวจสุขภาพ (Personalized Wellness Check-Up Center) สามารถให้บริการตรวจสุขภาพแบบครบวงจรภายในที่เดียวและออกแบบโปรแกรมเช็กอัพที่เหมาะกับแต่ละบุคคล นอกจากนี้เตรียมนำหุ่นยนต์ผู้ช่วยบุคลากรทางการแพทย์เข้ามาให้บริการภายใน รพ.ธนบุรี บำรุงเมือง เพื่อลดการสัมผัสและเพิ่มขีดความสามารถให้บริการแก่คนไข้และการจัดการภายในโรงพยาบาลได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
ศาสตราจารย์ นายแพทย์ บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นศูนย์กลางการวิจัยพัฒนาอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ของภูมิภาคนี้ เนื่องจากมีนักวิจัยที่มีคุณภาพ และมีจุดแข็งด้านความสามารถให้บริการทางการแพทย์ที่โดดเด่น จากวิกฤตโควิด-19 ได้สะท้อนถึงศักยภาพและความสามารถรับมือการแพร่ระบาดและการรักษาคนไข้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจนได้รับความชื่นชมและเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก
ทั้งนี้ ในปัจจุบันโรงพยาบาลต่างๆ มีความต้องการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อการดูแลรักษาสุขภาพ (Health Tech) เพื่อยกระดับการให้บริการรับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลและเพิ่มขีดความสามารถให้บริการแก่คนไข้ โดยปัจจุบันมีนวัตกรรมและอุปกรณ์เครื่องมือทางการแพทย์หลายอย่างที่น่าสนใจและเป็นเทรนด์การพัฒนาที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ เช่น ระบบ AI เพื่อประเมินอาการและแนวทางวิธีการรักษาเบื้องต้นแก่คนไข้, ระบบ Telemedicine ที่สามารถเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลประวัติการรักษาเพื่อให้บริการแก่คนไข้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลไม่สะดวกเดินทางมายังโรงพยาบาล, การพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อให้บริการแก่คนไข้ ฯลฯ นอกจากนี้ ภายหลังเกิดโรค COVID-19 มีโรงพยาบาลหลายแห่งที่นำนวัตกรรมและหุ่นยนต์ทางการแพทย์เข้ามาให้บริการ
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ใหม่ๆ ยังมีความจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนและต่อยอดสู่ความร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ต่างประเทศที่มีองค์ความรู้และชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในตลาดเชิงพาณิชย์ ซึ่งการที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลได้รับการสนับสนุนจาก บมจ.ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป ร่วมกันจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรม Medical Services จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายร่วมกันได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
รองศาสตราจารย์ ดร.จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกและนำเข้าอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับต้นๆ ในอาเซียน โดยส่งออกปีละกว่า 107,700 ล้านบาท และนำเข้าปีละกว่า 66,500 ล้านบาท ภาพรวมของการส่งออกขยายตัวปีละเฉลี่ย 8-10% ปัจจุบันเทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์และเฮลท์เทคกำลังเป็นที่ต้องการจากทั่วโลกเพื่อยกระดับบริการทางการแพทย์และก้าวทันการเปลี่ยนแปลงในยุคนิวนอร์มัล โดยคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลพร้อมร่วมมือกับ THG ดำเนินการวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ จะช่วยเพิ่มศักยภาพการให้บริการแก่คนไข้ และจะนำไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ในอนาคต ซึ่งเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในอุตสาหกรรมทางการแพทย์และสุขภาพให้แก่ประเทศอีกด้วย
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาทางวิศวะ มหิดลได้พัฒนางานวิจัยมาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ หุ่นยนต์ผ่าตัดนำวิถี, ระบบหุ่นยนต์ผ่าตัดทางไกล (Real-Time Tele Surgery), หุ่นยนต์ช่วยเดินเพื่อฟื้นฟูผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต( Exoskelton), หุ่นยนต์แพทย์อัจฉริยะ DoctoSight 1 และ 2 สำหรับการวินิจฉัยและรักษาผ่านระบบโทรเวช, หุ่นยนต์ “เวสตี้” เก็บขยะติดเชื้อในโรงพยาบาลด้วยระบบ AGV (Automated Guide Vehicle) ที่ใช้แถบแม่เหล็กนำทาง มีระบบแขนกลในการยกถังขยะได้สูงสุดครั้งละ 5 กิโลกรัม, หุ่นยนต์ “ฟู้ดดี้” ส่งอาหารและยาแก่คนไข้ในหอผู้ป่วย ได้ประมาณ 200 คนต่อวัน โดยใช้ระบบนำทางอัจฉริยะด้วยข้อมูลแผนที่ในตัวหุ่นยนต์แบบ QR-Code Mapping รับน้ำหนักบรรทุกได้ 30-50 กิโลกรัม เพื่อลดภาระงานหนักและความเสี่ยงบุคลากรทางการแพทย์ต่อการติดเชื้อโรคระบาด รวมถึงลดการนำเข้าหุ่นยนต์จากต่างประเทศอีกด้วย นอกจากนี้ยังมี วีลแชร์ไฟฟ้าควบคุมด้วยสัญญาณสมอง, Alertz อุปกรณ์เตือนการหลับในขณะขับรถด้วยสัญญาณสมอง, ระบบฝึกการแพทย์ผ่าตัดนัยน์ตา (Eye Surgical Training System), ระบบฝึก Haptics VR การแพทย์ผ่าตัดเนื้องอกในสมอง, สารเคลือบนาโนป้องกันเชื้อโรค (NanoCoating), เครื่องกายภาพไจโรโรลเลอร์ (Gyro-Roller) สำหรับผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง, ไบโอเซ็นเซอร์ (Biosensor) อุปกรณ์ตรวจวัดทางชีวภาพ เป็นต้น