กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเผยโควิด-19 ทำความต้องการสินค้าอุปกรณ์ทางการแพทย์เพิ่มขึ้น ยอดส่งออก 4 เดือน เพิ่ม 5% แนะผู้ประกอบการ หากส่งออกไปตลาดที่ไทยมีเอฟทีเอด้วย ต้องใช้เป็นตัวช่วย เพื่อเพิ่มโอกาสในการแข่งขัน ระบุ WTO และ WHO เร่งสมาชิกเปิดตลาดเพิ่ม เป็นโอกาสในการส่งออกของไทย
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ความต้องการสินค้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ประเภทต่างๆ เช่น เข็มและหลอดฉีดยา อุปกรณ์เครื่องใช้ทางการแพทย์ เพิ่มขึ้นทั่วโลก ช่วยหนุนให้การส่งออกสินค้ากลุ่มดังกล่าวของไทยในช่วง 4 เดือนของปี 2563 (ม.ค.- เม.ย.) มีมูลค่า 243 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 5% โดยตลาดส่งออกสำคัญขยายตัวหลายตลาด เช่น ญี่ปุ่น ส่งออกมูลค่า 74 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่ม 10% สหภาพยุโรป อาทิ เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี เบลเยียม ส่งออกมูลค่า 54 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่ม 8% สหรัฐฯ ส่งออก 49 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่ม 8% และอาเซียน อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา ส่งออก 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่ม 0.5%
สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เข็มและหลอดฉีดหรือสวน เพิ่ม 12% มีสัดส่วน 37% ของการส่งออกทั้งหมด อุปกรณ์และเครื่องใช้ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ และทันตกรรมอื่นๆ เพิ่ม 4% มีสัดส่วน 30% โดยไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ อันดับที่ 3 ในอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และ มาเลเซีย และเป็นอันดับที่ 16 ของโลก
นางอรมน กล่าวว่า ความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) เป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้สินค้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ของไทยได้เปรียบด้านราคา เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่ง ซึ่งผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอุปกรณ์ทางการแพทย์ของไทยสามารถพลิกวิกฤตโควิด-19 เป็นโอกาส โดยเร่งปรับแผนกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ควบคู่ไปกับการใช้ประโยชน์จากเอฟทีเอขยายการส่งออกไปประเทศที่ไทยมีเอฟทีเอ เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันประเทศคู่เอฟทีเอของไทยทั้งหมด 18 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน ญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ชีลี และ เปรู ได้ยกเลิกการเก็บภาษีศุลกากรในสินค้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ส่งออกจากไทยทุกรายการแล้ว
ในปี 2562 ไทยส่งออกสินค้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปยังตลาดโลกรวม 715 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยการส่งออกสินค้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปยังประเทศคู่เอฟทีเอ มีมูลค่าถึง 367 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 51% และหากเปรียบกับปี 2535 ก่อนที่ไทยจะมีความตกลงการค้าเสรีฉบับแรกกับกับอาเซียน พบว่า การส่งออกสินค้ากลุ่มดังกล่าวเติบโตขึ้นถึง 867%
ทั้งนี้ องค์การการค้าโลก (WTO) ได้ร่วมกับองค์การอนามัยโลก (WHO) ออกแถลงการณ์ร่วมเรียกร้องให้สมาชิก WTO 164 ประเทศ พิจารณาเปิดตลาดสินค้าเครื่องมือแพทย์ รวมทั้งลดการใช้มาตรการที่จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานเพื่อรับมือวิกฤตโควิด-19 จึงมีแนวโน้มที่ประเทศต่างๆ จะทยอยลดเลิกอุปสรรคด้านภาษีในสินค้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ในระยะยาว ประกอบกับรัฐบาลกำหนดให้อุตสาหกรรมอุปกรณ์ทางการแพทย์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการลงทุนและการวิจัยพัฒนา จึงนับว่าเป็นโอกาสดีของผู้ประกอบการสินค้ากลุ่มดังกล่าวที่จะยกระดับและพัฒนาสินค้า ปรับแผนการผลิต ควบคู่ไปกับการใช้แต้มต่อจากเอฟทีเอขยายการส่งออกอย่างต่อเนื่อง